อุตสาหกรรม crypto สหรัฐฯ ลุ้นนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์
อุตสาหกรรม crypto กำลังผลักดันให้ทีมงานของ ทรัมป์ ปรับนโยบายด้านคริปโตเคอเรนซีทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ในเดือนมกราคม โดยคาดว่าจะมีการออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลโทเคน
มุมมองของทรัมป์ ถือว่าสร้างความหวังให้กับผู้เกี่ยวข้องเนื่องจากแตกต่างจากนโยบายของรัฐบาลไบเดนที่เข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกิจคริปโต
แนวนโยบายหลักที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
1.การจัดตั้งคลังสำรอง Bitcoin แห่งชาติ
สถาบัน Bitcoin Policy Institute ได้เสนอร่างคำสั่งฝ่ายบริหารที่จะกำหนดให้กระทรวงการคลังจัดสรรงบประมาณ 21 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อสร้างคลังสำรอง Bitcoin แห่งชาติ โดยมองว่าเป็นการเตรียมความพร้อมในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังมีความเห็นแตกต่างกันว่าการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถทำได้ภายใต้อำนาจบริหารหรือต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา
2.การสนับสนุนการเข้าถึงบริการธนาคาร
ปัญหาสำคัญของธุรกิจคริปโตคือการถูกปฏิเสธการให้บริการจากธนาคารพาณิชย์ แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะระบุว่าธนาคารสามารถให้บริการแก่ธุรกิจคริปโตที่ปฏิบัติตามกฎหมายได้ แต่ธนาคารส่วนใหญ่ยังลังเลเนื่องจากความกังวลด้านการกำกับดูแล คำสั่งฝ่ายบริหารใหม่อาจช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคธนาคารในการให้บริการแก่ธุรกิจคริปโต
3.การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านคริปโตเคอเรนซี
ทรัมป์มีแผนจะจัดตั้งสภาที่ปรึกษาเฉพาะด้านคริปโตเคอเรนซี ซึ่งสามารถทำได้ผ่านคำสั่งฝ่ายบริหารเช่นเดียวกับการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาพิเศษในรัฐบาลชุดก่อนๆ โดยปัจจุบันทีมงานอยู่ระหว่างการพิจารณาโครงสร้างและองค์ประกอบของสภาดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ ทีมงานของทรัมป์ได้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโตเข้าร่วมทีมนโยบาย ได้แก่ Paul Atkins อดีตกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่มีแนวคิดสนับสนุนคริปโต และ David Sacks ผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโตที่จะเข้ามาทำงานในทำเนียบขาว โดยคาดว่าจะมีการออกคำสั่งฝ่ายบริหารอย่างน้อยหนึ่งฉบับในวันที่ 20 มกราคม และอีกหลายฉบับภายใน 100 วันแรกของการบริหาร
ที่ผ่านมา การประกาศนโยบายสนับสนุนคริปโตของทรัมป์ส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่เหนือระดับ 107,000 ดอลลาร์ในเดือนนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่เขาประกาศแผนการสร้างคลังสำรอง Bitcoin เชิงกลยุทธ์ในการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ราคาได้ปรับตัวลงมาต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งฝ่ายบริหารอาจไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรงต่อหน่วยงานกำกับดูแลอิสระ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่จะเป็นการส่งสัญญาณถึงทิศทางนโยบายของรัฐบาลและสร้างการสนับสนุนทางการเมืองสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี นอกจากนี้ ทรัมป์อาจออกคำสั่งให้หน่วยงานกำกับดูแลทบทวนกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมมากขึ้น คล้ายกับคำสั่งที่เคยออกในปี 2560 เกี่ยวกับการทบทวนกฎเกณฑ์ด้านธนาคาร