"แจ็ค หม่า" คืนรัง กระทบไหล่ "สี จิ้นผิง" สัญญาณบวกจีนกลับลำฟื้นภาคเอกชน?
หลังหายหน้าจากสังคมอยู่นานนม "แจ็ค หม่า" ก็ปรากฏตัวอีกครั้ง! ในการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พร้อมเหล่าผู้นำเทคโนโลยีจีน ท่ามกลางสัญญาณว่ารัฐบาลอาจกำลังปรับท่าทีให้เป็นมิตรต่อภาคเอกชนมากขึ้น การประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจจีนหรือไม่?
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำแห่งแผ่นดินใหญ่ได้จัดการประชุมภาคเอกชนของจีน ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยคือการรวมตัวกันของผู้บริหารระดับสูงในวงการเทคโนโลยีจีน รวมถึง แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้ง Alibaba! หลังหายหน้าจากสังคมไปพักใหญ่เมื่อโดนทางการจีนรุกคืบปราบปรามภาคธุรกิจตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020
จากสถานการณ์ในวันนั้น แจ็ค หม่า แทบจะกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผู้นำแห่งแผ่นดินใหญ่ ขณะที่การกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในการประชุมที่จัดขึ้นโดยประธานสี อาจสะท้อนการส่งสัญญาณกลายๆว่าทางการจีนอาจกำลังปรับทิศทางประเทศให้เป็นมิตรกับภาคธุรกิจมากขึ้น หลังจากที่ใช้มาตรการควบคุมกำกับดูแลอย่างเข้มงวดมาหลายปี
ผู้นำสายเทคโนโลยีที่ร่วมประชุมในงานนี้มีใครบ้าง?
- เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei
- หวัง ชวนฝู ซีอีโอของบริษัท BYD
- เจิ้ง หยูชุน ซีอีโอของ CATL
- พอนี่ หม่า ซีอีโอของ Tencent
- หวัง สิง ซีอีโอของ Meituan
- เหลย จุน ซีอีโอของ Xiaomi
- เหลียง เหวินเฟิง ซีอีโอของ DeepSeek
คาดจีนปรับทิศทางประเทศให้เป็นมิตรกับภาคธุรกิจมากขึ้น
ข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวเผยว่า ในการพบปะกับกลุ่มนักธุรกิจสายเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้กล่าวถึงศักยภาพอันยิ่งใหญ่และอนาคตที่สดใสของภาคธุรกิจเอกชน พร้อมกับย้ำว่าความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ซี่งรัฐบาลจีนกำลังเดินหน้าขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่เป็นธรรม
“นี่คือช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดสำหรับวิสาหกิจเอกชนและผู้ประกอบการที่จะโตไปอีกขั้นและพิชิตความสำเร็จ” - ประธานาธิบดีสีกล่าวในที่ประชุม
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นหลังจากที่ DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของจีน ได้เปิดตัวโมเดล AI รุ่นใหม่ล่าสุดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงบริษัทผู้พัฒนา AI ชั้นนำต่าง ๆ เนื่องจากโมเดลของ DeepSeek มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แต่มีต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณบวกต่อวงการเทคโนโลยีของจีน ซึ่งกำลังฟื้นตัวจากมาตรการควบคุมที่เข้มงวดของรัฐบาลในช่วงสามปีที่ผ่านมา
ย้อนรอยจีนคุมเข้ม ปรามธุรกิจเอกชน
การปราบปรามภาคธุรกิจในประเทศจีนเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 2020 ภายหลังจากที่ แจ็ค หม่า ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินและธนาคารของจีนอย่างรุนแรง จนส่งผลให้เกิดการตรวจสอบบริษัทเอกชนของจีนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นเช่นกัน อาทิ Tencent, Didi (ผู้ให้บริการเรียกรถ) และ Meituan (ผู้ให้บริการส่งอาหาร) ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แจ็ค หม่า ผู้ตงฉินก็เรียกได้ว่าแทบจะหายตัวไปจากสายตาของสาธารณชนโดยสิ้นเชิง
ด้านเฟร็ด หู ผู้บริหารของบริษัทด้านการลงทุน Primavera Capital ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้พบปะกับผู้ประกอบการภาคเอกชนนั้น "แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญ" ที่รัฐบาลจีนมีต่อธุรกิจของเอกชน
"ภาคเอกชน เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนมาอย่างยาวนาน แต่กลับต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนของนโยบายและกฎระเบียบที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดแรงงาน ซึ่งอัตราการว่างงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล" - เฟร็ด หู
ที่ผ่านมา การปราบปรามภาคเอกชนของทางการจีนส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทจีนชั้นนำหลายแห่งสูญเสียไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และก่อให้เกิดความกังวลต่ออนาคตของนวัตกรรมภายในประเทศ
ส่องนัยยะแฝง แจ็ค หม่า คืนรัง
การปรากฏตัวอย่างเด่นชัดของ แจ็ค หม่า ในการร่วมประชุมกับประธานาธิบดีสี สะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนกำลังผ่อนปรนและก้าวผ่านการปราบปรามธุรกิจเอกชน อย่างไรก็ตาม แองเจลา หุยเยว่ จาง ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีของจีน ให้ความเห็นอีกแง่มุมว่า "แม้เศรษฐกิจในประเทศจีนจะชะลอตัวและแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์จะเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลเลือกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าให้ความสำคัญกับภาคเอกชนและต้องพึ่งพาภาคเอกชนในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ"
เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า "จังหวะเวลาของการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นครั้งใหม่ในการสนับสนุนวิสาหกิจเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเทคโนโลยี และเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ"
แรงกดดันจากความขัดแย้งทางการค้า
ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่กลับกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก
แม้ทางการจีนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดในช่วงปลายปี 2565 แต่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกลับไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กลับกลายเป็นว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาอย่างหนัก และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางการจีนได้พยายามกระตุ้นภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่า เอกชนยังมีความกังวลต่อบทบาทของรัฐบาลที่อาจเข้ามาแทรกแซงธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ ธุรกิจเอกชนมีส่วนสำคัญต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีนมากกว่า 60% และสร้างการจ้างงานมากกว่า 80% แม้จะมีขนาดเล็กกว่าภาครัฐก็ตาม
อาจกล่าวได้ว่าการปรากฏตัวของแจ็ค หม่า ในที่ประชุมระดับสูงของจีนถือเป็นสัญญาณสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของรัฐบาล หลังจากบังคับใช้มาตรการเข้มงวดกับภาคเอกชนมาเป็นเวลาหลายปี ทั้งยังเป็นโอกาสที่รัฐบาลจีนจะส่งสารถึงนักลงทุนและภาคเอกชนว่าพร้อมให้การสนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรมากขึ้น
แม้เศรษฐกิจจีนยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ แต่การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับภาคเอกชนมากขึ้น อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของจีน อย่างไรก็ตาม เราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าการเปิดรับภาคเอกชนครั้งใหม่นี้เป็นเพียงภาพลักษณ์ทางการเมืองหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง