แม่บ้าน มือทอง
แม่บ้าน เป็นอาชีพที่ใครหลายคนมองว่างานหนัก เงินเดือนน้อย แม้แต่คนอาชีพเดียวกันยังให้คำนิยามว่า“กรรมกรห้องแอร์”
โดย...จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์ ภาพ... ทวีชัย ธวัชปกรณ์
แม่บ้าน เป็นอาชีพที่ใครหลายคนมองว่างานหนัก เงินเดือนน้อย แม้แต่คนอาชีพเดียวกันยังให้คำนิยามว่า“กรรมกรห้องแอร์” และถูกมองข้ามจากคนจำนวนมากว่าเป็นอาชีพไม่มีเกียรติ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้มาก แต่แท้จริงแล้วใครจะรู้ว่านี่แหละคืออาชีพที่มีเกียรติและสำคัญอย่างมาก ทำดีๆ มีเงินเดือนหลักแสนบาทเลยทีเดียว
นิภารัตน์ ศรีทะหา วัย 48 ปี ไต่เต้ามาจากแม่บ้านในโรงแรมจนกระทั่งกลายมาเป็นผู้สอนวิชางานแม่บ้าน โรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม
เธอจบระดับ ปวช.ด้านบัญชีจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ เริ่มจากการไปรับจ้างขายรองเท้าย่านบางลำพู ได้เงินเดือนเดือนละกว่า 2,000 บาท แต่ทำไม่นานก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ชอบ
จากนั้นลองทำตามคำแนะนำของเพื่อนน้าให้ไปเป็นแม่บ้านในโรงแรมแม่น้ำแถวเจริญกรุง (ปัจจุบันคือโรงแรมรามาดา พลาซ่า แม่น้ำ ริเวอร์ไซด์)จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็อยู่ในอาชีพนี้มานานถึง 28 ปี
ทำงานที่โรงแรมแรกได้ 4 ปี ย้ายไปทำที่โรงแรมโนโวเทล สยาม แล้วเปลี่ยนไปทำที่โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ต่อด้วยโรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ วินเซอร์ สวีทแรมแบรนดท์แล้วจึงย้ายไปยังโรงแรมบนเกาะพะงัน เกาะสมุย ก่อนกลับมากรุงเทพฯอีกครั้ง ทำงานเครือโรงแรมฟูราม่า แล้วย้ายไปอยู่โรงแรมที่ชะอำ ปิดท้ายด้วยโรงแรมรามาดา เดมา กรุงเทพฯ ย่านประตูน้ำ ในการย้ายแต่ละครั้งก็ไต่เต้าตำแหน่งขึ้นไปเรื่อยๆ จากที่เริ่มต้นเป็นเพียงแม่บ้าน ก็เป็นแม่บ้านอาวุโส หัวหน้าแม่บ้าน ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกแม่บ้าน และจบที่ผู้จัดการแผนกแม่บ้าน ก่อนจะมาเป็นอาจารย์
นิภารัตน์ เล่าว่า ช่วงแรกที่เข้าไปทำงาน ไม่มีความรู้เรื่องโรงแรมเลย ตำแหน่งแรกที่ทำก็คือพนักงานทำความสะอาด หรือแม่บ้าน เป็นงานหนักมาก ยิ่งเข้าไปตั้งแต่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ก็ต้องทำงานไปเรียนรู้ไป ช่วงแรกที่เริ่มทำความสะอาดห้องพักแต่ละห้องก็จะมีคู่หูคอยสอนงานไปด้วย จนกระทั่งทำเป็นจึงได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบทำความสะอาดห้องพักคนเดียว เริ่มตั้งแต่ 5 ห้อง ไปจนถึง15-20 ห้อง
การทำความสะอาดห้องพักนั้น มีตั้งแต่การปูเตียง ล้างห้องน้ำ ขจัดฝุ่น ซึ่งทุกขั้นตอนหากเป็นห้องที่ลูกค้าเข้าพักอยู่ ก็จะมีกำหนดเวลาทำความสะอาด 15-20 นาที แต่หากเป็นห้องที่ลูกค้าเช็กเอาต์ไปแล้ว จะมีกำหนดเวลาทำความสะอาด 30 นาที บางครั้งก็อาจจะเลยเถิดไปเป็น 1 ชั่วโมง หากการใช้งานห้องพักนั้นมีสภาพที่เละเทะมาก หากวันไหนที่มีห้องที่รับผิดชอบเช็กเอาต์พร้อมกันมากจะเหนื่อยเป็นพิเศษ
เงินเดือนแม่บ้านนั้นไม่มาก แต่มีค่าธรรมเนียมบริการ (เซอร์วิสชาร์จ) แต่ละเดือนที่ได้รับ มากกว่าเงินเดือนที่ได้นี่ยังไม่นับรวมทิปที่ลูกค้าให้ โดยในสมัยที่ทำงานเป็นแม่บ้านนั้น ได้ทิปวันละ 700-1,000 บาท เนื่องจากลูกค้าหลายชาติจะมีธรรมเนียมการให้ทิปอยู่แล้ว เช่น ชาวญี่ปุ่นมักจะวางทิปไว้บนหมอน ชาวยุโรปจะเขียนบันทึกเล็กๆ พร้อมกับนำเงินมาให้กับมือ
“ถ้าเป็นสาวออฟฟิศทำงานแถวสีลม ได้เงินเดือน 2 หมื่นบาท ก็คงแทบไม่พอใช้แล้ว แต่คนที่ทำงานโรงแรมมีสวัสดิการกินอยู่ในโรงแรม อาหารฟรี 2-3 มื้อแล้วแต่แห่งบางทีแม่บ้านโรงแรมยังมีรายได้ดีกว่าพนักงานในออฟฟิศทั่วไปอีก เพราะได้ทิปเยอะ ได้แบบอัตโนมัติห้องต่อห้อง ซึ่งสมัยก่อนที่เป็นแม่บ้านก็ได้ทิปทุกวัน จนไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร” นิภารัตน์ กล่าว
ผลตอบแทนโดยรวมจากทุกช่องทางที่แม่บ้านได้นั้นมากแต่ นิภารัตน์กล่าวว่า การเป็นแม่บ้านโรงแรมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะงานหนัก เป็นกรรมกรห้องแอร์ ต้องทำทุกอย่างในห้องพักให้เนี้ยบในเวลาจำกัด คนไทยจำนวนมากไม่สู้งาน เมื่อเจองานหนักก็อยู่ได้ไม่นาน กลายเป็นโอกาสให้คนต่างชาติ เช่น ฟิลิปปินส์ เมียนมา ที่มีความสามารถทางภาษาและสู้งานเข้ามาทำงานในตำแหน่งแม่บ้านแทน เพราะโรงแรมก็หาคนไทยมาทำงานไม่ได้ น่าเสียดายโอกาสมาก
หลายคนอาจจะมองว่าอาชีพแม่บ้านโรงแรมไม่มีความก้าวหน้า แต่แท้จริงแล้วทำอาชีพนี้ก็เติบโตได้ในโรงแรม และถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติอย่างมาก ทุกโรงแรมต่างต้องให้ความสำคัญกับแผนกแม่บ้านเพราะเป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากลูกค้าที่มาพักโรงแรมอาจจะไปรับประทานอาหารข้างในโรงแรมหรือนอกโรงแรมก็ได้ แต่ถ้าเป็นการนอนหลับก็ต้องมานอนในห้องพักของโรงแรม หากห้องพักไม่เรียบร้อยลูกค้าไม่ประทับใจครั้งต่อไปก็จะไม่มา แม่บ้านโรงแรมจึงมีความสำคัญอย่างมากกับทุกโรงแรม
คุณสมบัติสำคัญที่จะทำให้แม่บ้านเติบโตในอาชีพแม่บ้านโรงแรมได้มีแค่ 2 ข้อคือ อดทนและซื่อสัตย์ เพราะอาชีพแม่บ้านโรงแรมเป็นอาชีพที่ขาข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในคุกต้องรับผิดชอบกับทรัพย์สินลูกค้าด้วย ถ้าถึงคราวโชคร้ายลูกค้าบอกว่าทรัพย์สินหายในห้องพัก แม่บ้านที่ทำความสะอาดห้องพักนั้นก็จะเป็นคนหนึ่งที่ถูกเก็บประวัติเอาไว้ก่อนหากในอนาคตแม่บ้านคนนั้นโชคร้ายไปเจอห้องพักที่ทำความสะอาดเกิดปัญหาลูกค้าร้องเรียนทรัพย์สินหายอีก ต่อไปเวลาไปสมัครงานที่โรงแรมไหนก็อาจจะพลาดได้ เพราะโรงแรม 5 ดาวส่วนใหญ่จะค้นหาประวัติแม่บ้านก่อนรับเข้าทำงานอยู่แล้ว หากประวัติไม่ดีก็ไม่รับเข้ามา
สำหรับแม่บ้านโรงแรมบางคน ที่ไม่เติบโต เพราะตัวเขาไม่ได้ต้องการความก้าวหน้า แต่ก็มีอีกหลายคนที่เติบโตไวในอาชีพนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ทำให้เติบโตได้ก็คือ ความซื่อสัตย์ ทำงานอยู่ในกรอบระเบียบที่องค์กรวางไว้ เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดี ทำงานได้ดี ทำความสะอาดห้องพักได้เรียบร้อยจนลูกค้าประทับใจ และที่สำคัญเป็นคนที่กล้าแสดงออก มีความเป็นผู้นำ
นิภารัตน์ เล่าว่า ในสมัยที่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าหรือผู้จัดการแผนกแม่บ้านแล้ว เธอมักจะสอนลูกน้องเสมอว่า ให้มองสูงอย่ามองต่ำ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่โต ที่สอนเช่นนี้เพราะเชื่อว่าหากมองสูง ก็จะมีโอกาสไขว่คว้ามันมาให้ได้ ส่วนจะได้หรือไม่นั้นก็คงอยู่ที่ตัวเรา แต่หากมองต่ำก็จะไม่ได้เริ่มไขว่คว้าอะไร โอกาสที่จะโตก็ยาก
ช่วงที่ นิภารัตน์ เป็นแม่บ้านได้พยายามเรียนรู้ภาษา ทั้งจากการสอบถามจากผู้จัดการโรงแรม และที่มากที่สุดก็คือการเรียนรู้จากลูกค้าชาติต่างๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจศัพท์หลายคำที่ลูกค้าแต่ละชาติจะเรียกต่างกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น เมื่อลูกค้าแจ้งความต้องการมาก็สามารถหามาได้ถูกต้อง
“เวลาลูกค้าพูดคำว่าอะไรบ่อยๆ เราก็จะจำ เช่น พาวเดอร์ภาษาอังกฤษแปลว่าแป้งก็จริง แต่หากเป็นลูกค้าอินเดียมาเข้าพักแล้วเรียกขอพาวเดอร์ พวกเขาหมายถึงต้องการขอคอฟฟี่เมท” นิภารัตน์ กล่าว
สมัยที่ นิภารัตน์ เป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องพักภูมิใจเวลาลูกค้าชื่นชมโดยตรง หรือเขียนจดหมายมาชมกับหัวหน้าว่าทำห้องพักเรียบร้อย หลายครั้งที่เคยได้เป็นสุดยอดพนักงานประจำเดือน ติดรูปประกาศให้เห็นในโรงแรม ทำให้รู้สึกว่าอาชีพแม่บ้านโรงแรมเป็นคนสำคัญมากสำหรับโรงแรม ถ้ามีลูกค้าคนไหนแสดงความจำนงว่าต้องการให้เราเป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องพักนั้นโดยเฉพาะ ไม่ต้องการคนอื่น แม้จะทำให้ความรับผิดชอบเพิ่ม แต่ก็จะมองบวกว่าคงทำได้ดีลูกค้าถึงอยากให้ทำ เวลาทำความสะอาดแต่ละห้องพักก็จะมองว่าเหมือนบ้านของเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด
อาชีพแม่บ้านโรงแรมเป็นอาชีพที่ไม่มีเกษียณอายุ แม้จะเกิน 60 ปีแล้ว หากเป็นคนที่มีความสามารถโรงแรมก็จะต้องการจ้างให้ทำงานต่อ หากได้ยกระดับขึ้นเป็นระดับผู้จัดการแผนกแม่บ้านแล้ว คนทำงานในโรงแรมด้วยกันก็มักจะเรียกขานคนในตำแหน่งนี้ว่า คุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งก็ย่อมาจากคุณพ่อบ้าน และคุณแม่บ้านนั่นเอง ขณะที่ลูกน้องในแผนกก็เรียกว่า คุณพ่อ คุณแม่ เมื่อเป็นระดับผู้จัดการแล้วก็เรียกลูกน้องว่า ลูก เพื่อความเป็นกันเอง ถือเป็นการเรียกขานตำแหน่งที่ต่างไปจากผู้จัดการฝ่ายอื่น
ทั้งนี้เพื่อความเป็นกันเองในการทำงาน และสะท้อนให้เห็นว่าทุกแผนกมองเห็นแผนกแม่บ้านนั้นสำคัญจริงๆ หลายคนอาจจะมองเห็นพนักงานต้อนรับส่วนหน้า (ฟรอนท์)เวลามาใช้บริการโรงแรม แต่คนเหล่านี้ก็ต้องทำงานเป็นคู่หูกับแม่บ้าน เพราะต้องให้แม่บ้านทำความสะอาดห้องพักจนเรียบร้อยก่อน กลายเป็นผลิตภัณฑ์ให้ฝ่ายฟรอนท์ได้นำไปเสนอลูกค้า หากฝ่ายผลิตอย่างแม่บ้านทำดี ฝ่ายฟรอนท์ก็ขายสินค้าได้
นิภารัตน์ ยกตัวอย่างว่า รุ่นพี่ของเธอปัจจุบันเป็นคุณแม่ (ผู้จัดการแผนกแม่บ้าน) ของโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งแม้จะอายุ 70 ปีแล้วก็ยังทำงานอยู่ ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่บางคนที่ทำงานโรงแรมระดับ 5 ดาวแบบนี้ เงินเดือนสูงถึง1.7-2 แสนบาท
คนที่ทำอาชีพแม่บ้านนั้นเปรียบเสมือนขิง ยิ่งแก่ก็ยิ่งดี และใช่ว่าเริ่มต้นเป็นแม่บ้านแล้วจะจำกัดการโตอยู่แค่แม่บ้านเพราะสามารถเปลี่ยนไปเป็นพนักงานต้อนรับส่วนหน้าก็ได้ หากมีประสบการณ์และเข้าใจเรื่องโรงแรมดีอยู่แล้ว
“การเป็นฟรอนท์ เวลาทำงานก็ต้องมาเรียนรู้งานส่วนแม่บ้านอยู่ดี เพื่อเรียนรู้สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักประเภทต่างๆ จะได้ให้บริการลูกค้าได้ถูก ซึ่งบางคนจบปริญญาตรีมาทำงานโรงแรมเป็นฟรอนท์ ก็ต้องมาเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ใหม่ทั้งหมด เนื่องจากไม่เคยรู้มาก่อน ขณะที่แม่บ้านหากรู้จักเพิ่มพูนความรู้ อบรมภาษาเพิ่มเติมเล็กน้อยก็ข้ามไปเป็นฟรอนท์ได้ เพราะรู้ระบบต่างๆ ดีอยู่แล้วจากที่ทำงานเป็นคู่หูกับฟรอนท์มา เรื่องการศึกษาไม่ใช่ปัญหาเพราะเราเรียนรู้เพิ่มเติมได้ เช่นตัวเองระหว่างเป็นแม่บ้านก็ศึกษาต่อระดับ ปวส.ไปด้วย และปัจจุบันก็กำลังศึกษาต่อระดับปริญญาตรี อีกประมาณ 1 ปีก็จะสำเร็จการศึกษา” นิภารัตน์ กล่าว
ทุกวันนี้ประสบการณ์คือสิ่งสำคัญที่สุดที่โรงแรมต้องการ และวันนี้เด็กรุ่นใหม่ก็ถือว่าโชคดีมากๆ เพราะโรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรมมีหลักสูตรระยะสั้นๆ ด้านการโรงแรมออกมาให้ได้เรียนทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อจะได้ไปเริ่มทำงานจริงในโรงแรมได้ทันทีหลังเรียนจบ
โรงเรียนเปิดมาตั้งแต่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา มีนักเรียนรุ่นแรก 27 คน ในจำนวนนี้เลือกเรียนผลิตอาหารและขนมอบถึง 17 คน อีก 7 คน เลือกเรียนด้านบริการอาหารและเครื่องดื่ม 7 คน เลือกเรียนด้านบริการฝ่ายห้องพัก 3 คนเท่านั้น ทั้งที่จริงแล้วเรียนบริการฝ่ายห้องพักมีผลดีเพราะหากมีประสบการณ์จากการเรียน การไปหางานทำในโรงแรม ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งยุคนี้โรงแรมเกิดใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คนที่เรียนจบไปก็หางานได้ไม่ยาก
ไม่ว่าอาชีพไหนต่างก็น่าภาคภูมิใจทั้งสิ้นหากเป็นอาชีพสุจริต และทุกอาชีพก็มีเกียรติเช่นกัน หากคนที่อยู่ในอาชีพนั้นเคารพ ศรัทธาในอาชีพของตัวเอง และทำงานอย่างดีที่สุด ซึ่งแม่บ้านโรงแรมก็ถือเป็นอีกอาชีพมีเกียรติที่นอกจากจะมีความสำคัญกับโรงแรมแล้ว ยังสำคัญต่อภาพลักษณ์ของประเทศด้วย