จากหนังเรื่อง Inception สู่การเรียนรู้เรื่องจิตในวิถีพุทธ (ตอน ๒)
สำหรับกรณีความพะวง (Projection) ที่คอยโผล่มาตัดรอนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจิตวิถีที่กำลังดำเนินไปตามเหตุปัจจัยนั้น
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
สำหรับกรณีความพะวง (Projection) ที่คอยโผล่มาตัดรอนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจิตวิถีที่กำลังดำเนินไปตามเหตุปัจจัยนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาหากเข้าใจเรื่องของจิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ และยึดเหนี่ยวประกอบกับอารมณ์นั้นจนเกิดรูปนามขึ้น เมื่อมีรูปนามเกิดขึ้นด้วยจิตเข้าไปยึดถือในอารมณ์และข้องติดในอารมณ์นั้น ก็ย่อมเกิด “นิวรณ์ธรรม” ซึ่งเป็นอำนาจอกุศลที่คอยขัดขวางจิตไม่ให้ดำเนินไปสู่ความเป็นสมาธิ และพัฒนาสู่ความมีญาณเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังยึดโยงให้เกี่ยวเนื่องกับโลกด้วย “สัญโญชน์” ที่ผูกรั้งสัตว์ไว้ในวัฏสงสาร จึงปิดกั้นขัดขวางมิให้จิตเข้าสู่วิถีธรรมที่เป็นกุศลจิต ด้วยอำนาจผลกรรมที่ก่อเกิดขึ้นเป็นอกุศลวิบาก ที่ให้ผลเป็นอกุศลจิต จึงให้แปรปรวน ซัดส่าย ยักย้าย ถ่ายเท วุ่นวาย และให้เกิดความหวาดวิตกกังวล
อันเป็นไปตามสภาพปกติของจิตสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องเป็นไปเช่นนี้ ด้วยอำนาจกฎแห่งกรรม ที่สำแดงอย่างยุติธรรม เสมอกันทั่วทุกสัตว์ที่ยังเคลื่อนไหวเกิด-ดับ วกวนอยู่ในสังสารวัฏนี้ จึงไม่แปลกที่จะมีเครื่องขวางกั้นกระแสจิตที่ดำเนินให้ผกผันเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกขณะ เพื่อให้เกิดความไม่ถูกใจ-ไม่ชอบใจ มีความคับแค้นใจด้วย “จิตสังขาร” อยู่ภายใต้กฎความจริงที่เป็นไปตาม “ธรรมนิยาม” ซึ่งแสดงความหมายแห่ง พระอนิจจัง พระทุกขัง และพระอนัตตา ไว้อย่างเป็นธรรมดา... ก่อนที่อาตมาจะวิสัชนาไปมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้สับสน จึงขอนำเข้าสู่ “การศึกษาเรื่องของจิต” ที่ได้รีบเร่งเขียนโดยสรุป เพื่อเป็นประโยชน์แห่งการเรียนรู้ของสาธุชน พึงตั้งใจอ่านพิจารณาไปตามลำดับ เมื่อจบวิสัชนาก็จะมีคำตอบเกิดขึ้นในจิตใจของท่านเอง... ติดตามไปตามลำดับตั้งแต่บัดนี้...
ขอนำเข้าสู่การศึกษาเรื่องของจิตตามวิถีพุทธ... คำว่า “จิต” หากจะกล่าวโดยสรุป หมายถึง ธาตุรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคล ไม่มีสรีระ คือ รูปร่าง ทรวดทรง สัณฐาน แต่อาศัยอยู่ในรูปคือกายนี้ รวมเข้าก็เป็นธาตุ ๖ และจิตนี้ก็เป็นวิญญาณธาตุ ส่วนอีก ๕ ธาตุก็รวมเข้าเป็นกาย กายและจิตนี้อาศัยกันอยู่ จึงเป็นบุคคล ด้วยปฐมบทแห่งการเกิด เพราะธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ รวมก่อตัวเกิดขึ้นในครรภ์ของมารดา จิตก็ปฏิสนธิ เรียกว่า ปฏิสนธิจิต และในที่สุด เมื่อร่างกายนี้แตกสลายก็จะเกิดจุติจิต โดยจิตเคลื่อนออกไปจากกายนี้
หากพิจารณาดูความหมายตามรากศัพท์ของจิต สามารถสรุปได้ ๓ อย่าง คือ ๑.คิดหรือรู้ ๒.สั่งสม ๓.วิจิตร หมายถึง แตกต่างกันหลายอย่างหลายประการ จากความหมายของจิต สะท้อนให้เห็นคุณสมบัติของจิต ว่าเป็นธาตุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นธาตุรู้ จึงสามารถรู้อะไรก็ได้ คิดนึกพิจารณาอะไรก็ได้ และสามารถเก็บความรู้ สิ่งที่ประสบพบเห็นต่างๆ ไว้ได้ โดยจำแนกจิตตามชั้นของการโคจร ได้แก่ ๑.โคจรในชั้นกาม เรียกว่า กามาวจรจิต ๒.โคจรท่องเที่ยวไปในรูปภพ เรียกว่า รูปาวจรจิต ๓.โคจรท่องเที่ยวไปในอรูปภพ เรียกว่า อรูปาวจรจิต
จิตดั้งเดิมนั้น เป็นธรรมชาติที่เป็นธาตุรู้ มีความประภัสสร ได้แก่ ผุดผ่อง สว่างไสว แต่ต้องเศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลส หรือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา แต่สามารถอบรมภาวนาให้จิตเข้าสู่ฐานะประภัสสรได้ดุจดังเดิม จนหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวงได้ นั่นหมายถึง การเข้าถึงฐานะจิตเดิม ซึ่งเป็นจิตหนึ่ง (เอกจิต) ที่มีอำนาจ รู้ ตื่น เบิกบาน ที่เรียกว่า “อำนาจพุทธภาวะ” ซึ่งนั่นหมายถึงธาตุแท้ดั้งเดิมของจิต
แต่ด้วยการที่จิตสามารถเคลื่อนไหว ซัดส่าย นึกคิดไปตามเรื่องราวต่างๆ ได้ จึงเกิด อาการของจิตหรือจิตที่มีอาการ อันเกิดตามสภาพความคิด เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และดับไปตามอารมณ์นั้นๆ ในทุกขณะจิตที่จิตเข้าไปยึดถือ โคจรท่องเที่ยวไปตามอารมณ์ซึ่งเกิดจากเรื่องราวต่างๆ ด้วยอาการจิตที่คิดถึงเรื่องนั้น ปล่อยเรื่องนี้ หรือคิดไปในเรื่องนี้ ปล่อยจากเรื่องนั้น ดุจอย่างวานรที่กระโดดโลดแล่นไปตามกิ่งไม้ต่างๆ ไม่จับเกาะอยู่ที่กิ่งใดกิ่งหนึ่ง... เรียกอาการที่จับและปล่อยอารมณ์ต่างๆ ของจิตว่าเป็น จิตที่เป็นตัวอาการ ซึ่งแตกต่างจากจิตเดิมที่มีความเป็นหนึ่งเดียว
อันเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยเพียงแต่หยุดอาการที่เคลื่อนไหวไปมาให้เกิด-ดับๆๆ ของจิตลงได้ ด้วยการหยุดความคิดปรุงแต่งที่ดำเนินไปตามอาการแสวงหาลงได้ ความกระวนกระวายก็จะสงบลง จนยุบอาการของความคิดที่เป็นอาการของจิต รวมลงสู่ธาตุรู้ที่ผุดผ่อง สว่างไสว หมดสิ้นอาการโลดแล่นไปตามความคิดนึก สู่ความเป็นจิตหนึ่ง ที่มีความเป็นอันเดียวกับ ธาตุรู้ตามธรรมชาติ เรียกว่า พุทธภาวะ ซึ่งสิ้นสุดความคิดนึกปรุงแต่ง ไม่เข้าไปข้องแวะยึดติดอยู่กับอารมณ์ใดๆ โดยสิ้นเชิง มีความเป็นพุทธโยนิอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของธาตุรู้ในจิตของสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นพุทธภาวะดั้งเดิมมาอย่างเสมอเหมือนกัน
การศึกษาทำความเข้าใจในเรื่องของจิตล้วนๆ ได้จนแจ่มแจ้งแทงตลอด จนสามารถเข้าถึงธรรมชาติอันแท้จริงของจิตได้ ก็ย่อมปลดปล่อยเหตุปัจจัยอันก่อให้เกิดอาการจิตที่นำไปสู่ความวุ่นวายได้อย่างแท้จริง ที่กล่าวเรียกว่า ดับทุกข์ได้ด้วยการกำจัดมลทินให้สิ้นไปจากจิตดวงนี้เอง... ทั้งนี้ จะต้องรู้จักวิธีการอบรมพัฒนาจิต เพื่อให้คืนกลับสู่ฐานะเดิมที่บริสุทธิ์ ยุติความขวนขวายซัดส่าย ไหลเรื่อยไปในแนวอารมณ์อันเป็นลำคลองของจิต ที่ให้เคลื่อนไหวไปอย่างไม่รู้จบ ไม่รู้สิ้น ไม่รู้หยุด ไม่รู้เหนื่อย
อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้