ภารกิจกู้ศึกดิ์ศรี...เรียกศรัทธา

โดย...นูโน่

บางคนบอกว่า...ครองเจ้าซีเกมส์ แต่ไม่ได้แชมป์ฟุตบอล ก็เหมือนล้มเหลว

บ้างก็ว่า...เป็นรองเจ้าเหรียญทองไม่เป็นไร แต่ขอฉลองชัยฟุตบอลชายก็พอ

บ้างก็ว่า...ฟุตบอลไม่ได้ไปต่อ ก็เหมือนรูดม่านปิดฉากซีเกมส์อย่างไม่เป็นทางการ

และอีกร้อยแปดพันเก้าเหตุผลที่ทำให้ทีมลูกหนังไทย มีเป้าหมายอื่นไปไม่ได้ นอกจาก “แชมป์เท่านั้น” ในมหกรรมกีฬาอาเซียนทุกครั้งไป

เฉกเช่นเดียวกับครั้งนี้ ที่ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงแม้สองครั้งล่าสุดจะตกต่ำถึงขั้นตกรอบแรกติดต่อกัน เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีบอลไทยที่เคยครองความยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าซีเกมส์มา 8 สมัยติดต่อกันแล้ว ยังต้องเรียกศรัทธาแฟนๆ กลับมา ท่ามกลางปัญหาของสมาคมและความตกต่ำของผลงานทีมชาติไทย สวนทางกับการพัฒนาของลีกในประเทศที่แข็งแกร่ง

 

ไม่ใช่แค่ฟุตบอลชายเท่านั้น แต่สมาคมลูกหนังไทยตั้งเป้ากวาดเรียบ 4 เหรียญทอง รวมฟุตซอลสองครั้งที่ผ่านมา เหตุผลสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างความล้มเหลวของทีมแข้งไทย คือ ระยะเวลาในเตรียมทีมอันน้อยนิดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และเป้าหมายแชมป์ จนนำมาสู่ประโยค “เก่งแค่ไหน แต่ถ้าเตรียมทีมมาน้อยก็ไม่มีประโยชน์”

เพราะฉะนั้นเมื่อ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตฮีโร่ทีมชาติไทย ตัดสินใจเข้ามารับหน้าที่กุนซือนำทัพเองเป็นครั้งแรก จึงเริ่มด้วยการเกาให้ถูกที่คัน

“ผมพยายามเอาความผิดพลาดทั้งสองครั้งที่ผ่านมา มาปรับปรุงแก้ไข และทำโปรแกรมเก็บตัวฝึกซ้อมและอุ่นเครื่องให้ดีที่สุด ซึ่งก็ดีกว่าที่ผ่านมา แต่จะเหนือกว่าคู่ต่อสู้หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะบางชาติก็เก็บตัวดีกว่าเราด้วยซ้ำไป แต่เชื่อว่าเด็กชุดนี้ซึ่งก็มีประสบการณ์ในลีกมากพอสมควร น่าจะดีพอสำหรับการคว้าแชมป์” เฮดโค้ชทีมชาติไทย กล่าว

ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยชุดนี้ ซึ่งนำโดย “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีม และ “เมสซีเจ”ชนาธิป สรงกระสินธ์ เก็บตัวกันมาตั้งแต่เดือน ม.ค. และได้อุ่นเครื่องทุกเดือนตามโปรแกรม อีกทั้งยังได้มีประสบการณ์ในเกมใหญ่ๆ อย่างเกมบุกไปถล่ม จีน 51 เมื่อกลางปีที่ผ่านมา และได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์กับทีมระดับโลกอย่าง ลิเวอร์พูล และ บาร์เซโลนา ซึ่งอดีตกองหน้าทีมชาติไทยยืนยันว่าทุกคนในทีมได้ทำงานอย่างหนักทั้งในและนอกสนาม เพื่อสร้างความสุขให้คนไทย

รอบแรก ทีมชาติไทยอยู่สายบี ร่วมกับ “เจ้าภาพ” พม่า (14 ธ.ค.), “รองแชมป์เก่า” อินโดนีเซีย (12 ธ.ค.), ติมอร์เลสเต (7 ธ.ค.) และ กัมพูชา (16 ธ.ค.) ซึ่งถึงตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ซิโก้ เผยความพร้อม 100% แล้ว ไม่มีใครน่าเป็นห่วง สมบูรณ์เต็มที่

สำหรับคู่แข่งนั้น เฮดโค้ชจอมตีลังกา มองทุกทีมเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีหมด และประมาทไม่ได้เลย เพราะทุกคนต้องการล้มไทยด้วยกันทั้งสิ้น ต้องละเอียดทุกแมตช์ และทุกเกมต้องชนะ ขอให้แฟนๆ ช่วยกันส่งกำลังใจให้ทุกคนทำผลงานยอดเยี่ยม เพื่อคนไทย เพื่อประเทศชาติ

“สิ่งเดียวที่กลัวตอนนี้คือ การรับมือกับความกดดันในเกมสำคัญของเด็ก แต่ส่วนตัวยังเชื่อว่าการผ่านลีกที่แข็งแกร่งในประเทศมาแล้วจะช่วยพวกเขาได้” ซิโก้ กล่าวพร้อมเผยเลือก อุ้ม สวมปลอกแขนกัปตันด้วยเหตุผลความเหมาะสมทั้งคุณวุฒิ ในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมของลีก และวัยวุฒิ อายุ 23 ปีเต็ม สามารถเป็นผู้นำและแรงผลักดันให้ทุกคนได้

ขณะที่ทีมหญิงมีข่าวดี ได้เซฟร่างกายในรอบแรกเล็กน้อย หลัง ติมอร์ฯ ขอถอนตัว ทำให้เหลือทีมร่วม กลุ่มบี แค่ ลาว กับ มาเลเซีย แต่เป้าหมายทวงแชมป์คืนก็ยังไม่ง่าย เพราะคู่แข่งสำคัญคือ “แชมป์เก่า” เวียดนาม (ชนะไทยในรอบชิงชนะเลิศปี 2009) และ เจ้าภาพ ส่วนครั้งล่าสุดที่อินโดนีเซียไม่มีชิงชัย

“เราตั้งเป้าต้องเข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม เพื่อไปพบกับที่ 2 ของ กลุ่มเอ ซึ่งน่าจะเป็นเวียดนาม หรือไม่ก็พม่า ที่ล้วนเป็นทีมแข็งแกร่ง และเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์กับเราทั้งสิ้น ซึ่งเวียดนามได้บินไปเก็บตัวถึงเกาหลีใต้ ส่วนพม่าก็ไปเก็บตัวที่ญี่ปุ่น จึงเป็นงานหนักหนาสาหัสแน่นอน” จตุพร ประมลบาล โค้ชทีมหญิง กล่าว

อย่างไรก็ตาม โค้ชจุ่น เชื่อว่า ด้วยศักยภาพของแข้งแม่เนื้ออ่อนทีมชาติไทย ที่พัฒนาและมีความแข็งแกร่งขึ้น บวกกับความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างเต็มที่ จะมีเป้าหมายอื่นไม่ได้นอกจากทวงแชมป์กลับมาเช่นกัน

เช่นเดียวกับ ฟุตซอล ที่จะกลับบ้านพร้อมเหรียญอื่นไม่ได้ นอกจากเหรียญทองเท่านั้น ในฐานะแชมป์เก่าทั้งทีมชายและหญิง โดยเฉพาะชาย ที่ล่าสุดตอกย้ำความเป็นเจ้าอาเซียนและเพิ่มความมั่นใจเต็มที่ ด้วยการคว้าแชมป์ปรีซีเกมส์ ที่ผ่านมา

แข้งโต๊ะเล็กชายอยู่ร่วม กลุ่มบี กับ ลาว และ เวียดนาม โดยคู่แข่งสำคัญหนีไม่พ้น มาเลเซีย รองแชมป์ปรีซีเกมส์ล่าสุด ขณะที่ทีมหญิง แข่งพบกันหมดกับ พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในรอบแรก โดยยืนยันไม่เสียความมั่นใจ แม้พลิกล็อกพ่าย เวียดนาม 34 ประตู ในรอบชิงชนะเลิศปรีซีเกมส์ เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เพราะขาดตัวหลักหลายคน และต้องการลองทีม

หวังว่านักเตะทีมชาติไทยทั้งชายและหญิงชุดนี้ จะรวมใจเป็นหนึ่ง และมอบความสุขเป็นของขวัญปีใหม่ให้ชาวไทย พร้อมกลับมารับเงินอัดฉีดเต็ม 5 ล้านบาทสำหรับทีมบอลชาย และอีกทีมละ 1 ล้านบาท สำหรับทีมบอลหญิงและทีมฟุตซอลชายหญิง ตามที่ วรวีร์ มะกูดี รักษาการนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศไว้นะ