posttoday

14 อีกครั้ง

29 มีนาคม 2558

เธอและเขาแต่งงานกันแล้ว....

เธอและเขาแต่งงานกันแล้ว....

มันเกิดขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขต  ไม่มีพิธีสมรสใดๆ ให้ยุ่งยาก เพียงแค่เธอกดเลือกสถานะความสัมพันธ์และเขากดตอบรับ มันก็ขึ้นแสดงสถานะต่อสาธารณชนในโลกออนไลน์แล้วว่า เขาทั้งคู่ “แต่งงานกัน”

ดูเหมือนว่าถ้าพิจารณาจากข้อเท็จจริง เธอกับเขาถือหลัก “แต่งก่อนอยู่” เพราะตอนแต่งงานทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ที่สำคัญเธอและเขาเคยเจอกันแต่ในโลกออนไลน์ ไม่เคยได้เจอกันในโลกแห่งความจริงมาก่อน  จนกระทั่งวันหนึ่ง...

1.เด็กสาววัยรุ่นอายุ 14 ปีคนหนึ่ง ยกมือไหว้พวกเราและทำหน้างง ยิ้มแห้งๆ ปนสงสัยว่าพวกเราเป็นใคร ทำไมแม่ถึงพาเธอมาที่นี่  พวกเรารับไหว้และบอกให้เธอและแม่นั่งรออยู่สักครู่หนึ่ง  เธอกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องที่พวกเราพาเธอมานั่ง  ผนังทุกด้านของห้องมีภาพเด็กจำนวนมากแขวนอยู่  เธอน่าจะพอเดาออกว่าภาพเด็กจำนวนมากในห้องนี้หมายถึงอะไร เพราะทุกภาพมีข้อความเขียนไว้ว่า “เด็กหาย”  และเธออาจกำลังกวาดสายตาดูอยู่ก็ได้ว่า มีภาพถ่ายของเธอติดอยู่บนฝาผนังบ้างหรือไม่

เธอไม่ใช่เด็กคนแรกที่มาที่นี่  มีเด็กจำนวนมากเคยมาที่นี่แล้ว  แม้เราจะมีหน้าที่ในการตามหาเด็กหาย  แต่ในความเป็นจริงแม้พบตัวเด็กแล้ว เราก็ยังมีหน้าที่ต่อเนื่องกับครอบครัวเด็กหายอยู่ เพราะเด็กหายส่วนใหญ่โดยเฉพาะเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้านมีแนวโน้มและความเสี่ยงสูงในการหายออกจากบ้านซ้ำอีกหากไม่ได้รับแก้ไขปัญหา หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเด็กเองและคนในครอบครัว

ในแต่ละปีมีเด็กสมัครใจหนีออกจากบ้านมากกว่า 300 คน นั่นหมายความว่าเกือบทุกวันต้องมีเด็ก 1 คนตัดสินใจที่จะไม่อยู่บ้านอีกต่อไป  แม้จะดูเหมือนว่าเด็กจะหนีไปกับแฟนหรือคนที่เด็กคุยด้วยในอินเทอร์เน็ต ก็ตาม แต่ลึกๆ แล้วมีปัจจัยสำคัญจากครอบครัวเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เด็กตัดสินใจก้าวเท้าออกจากบ้าน  ซึ่งตัวเด็กเองอาจไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คนที่เด็กคุยด้วยในอินเทอร์เน็ตจึงเป็นทางเลือกแรกๆ ที่เด็กอาจจะไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะคนที่เด็กคุยด้วยในโลกออนไลน์เชิงชู้สาว ยิ่งทำให้เกิดแรงผลักทางฮอร์โมนของวัยรุ่นพลุกพล่านไปกันใหญ่ โดยเด็กนิยามมันว่า “ความรัก”

2.ผมปล่อยให้เธอคุยกับทีมงานผู้หญิง ส่วนผมแยกมาอีกห้องหนึ่งเพื่อคุยกับแม่ของเธอ   ผมสอบถามถึงประวัติครอบครัว จึงทำให้ทราบว่าครอบครัวเธอแตกแยก พ่อแม่แยกทางกัน ต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวใหม่และมีลูกกับครอบครัวใหม่ทั้งคู่  เธอจึงอยู่ในสถานะตรงกึ่งกลางของทั้งสองครอบครัวทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่  บางปีเธออยู่กับครอบครัวฝ่ายพ่อ บางปีเธอย้ายมาอยู่กับครอบครัวฝ่ายแม่ เหมือนเป็นส่วนเกินของทั้งสองครอบครัว ด้วยเหตุนี้เองญาติๆ ลุงป้า น้าอา ปู่ย่า ตายาย จึงเอ็นดูและพยายามหยิบยื่นความรักให้กับเธอ ด้วยเกรงว่าเธอจะมีปมด้อย จนกลายเป็นว่า ถ้าเธออยากได้อะไร ญาติๆ พร้อมจัดหามาให้ทั้งหมด และนั่นคือที่มาของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เธอใช้คุยและแชทกับคนที่เธอรู้จักในโลกออนไลน์

เธอเปลี่ยนไปหลังจากได้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน  กลับจากโรงเรียนเธอวิ่งเข้าห้องและหมกตัวอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ เธอยิ้มและหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว   ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดละจากหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้น กระทั่งแม่และญาติๆ เริ่มที่จะดุเธอเกี่ยวกับเรื่องการใช้โทรศัพท์  แม่และญาติๆ เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ได้ใช้เทคโนโลยีอะไรมากมายในชีวิต  มีโทรศัพท์เพียงเพื่อโทรเข้าออกในธุระที่จำเป็น  พวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าเด็กกำลังทำอะไรอยู่และกำลังคุยกับใครในนั้น เพราะทุกครั้งเวลาพวกเขาถาม เด็กจะเลี่ยงตอบแต่เพียงว่า “คุยกับเพื่อน”

3.เวลาเราทำงานสืบสวนติดตามเด็กหาย เราถือหลักการว่าเด็กหายจากสิ่งไหนให้ตามจากสิ่งนั้น  เด็กหายจากการติดเกม ก็ต้องไปตามหาที่ร้านเกม  เด็กหายเพราะติดเพื่อนก็ต้องไปตามหาที่บ้านเพื่อน  เด็กหายเพราะแชทกับคนใน Facebook ก็ต้องตามหาจาก Facebook ที่เด็กใช้   บ่อยครั้งเรามักพบว่าผู้ปกครองไม่รู้จัก Facebook หรือรู้จัก Facebook แต่ไม่รู้ว่าเด็กใช้ Facebook ชื่อว่าอะไร นั่นย่อมหมายความว่า การใช้ Facebook ของเด็กไม่ได้อยู่ในสายตาหรือการรับรู้ของผู้ปกครอง  หลายครั้งที่เราเข้าไปดูข้อมูลใน Facebook กลุ่มวัยรุ่นและ Facebook ของเด็กหาย มักพบว่าเด็กๆ มีพฤติกรรมในการคุยกันฉันชู้สาว  เด็กผู้หญิงมักโพสต์ภาพโชว์สัดส่วนเพื่อเรียกยอคไลค์หรือการกดถูกใจ ส่วนเด็กผู้ชายมักโชว์ภาพแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เช่น ภาพการเสพยา ภาพรอยสักหรือภาพถืออาวุธ ซึ่งนั่นก็สามารถเรียกยอดไลค์จากบรรดาเพื่อนๆในโลกออนไลน์ได้เป็นจำนวนมาก  ในขณะที่เราพบเสมอว่า แม้เด็กจะมียอดไลค์ในโลกออนไลน์มากขนาดไหนก็ตาม แต่ในขณะที่เมื่อเธออยู่ที่บ้านหรือที่โรงเรียน เธอคือเด็กปกติที่แทบจะไม่มีตัวตนเลยในโลกของความเป็นจริง ดังนั้นในโลกออนไลน์จึงเป็นที่ปลดปล่อยของเด็กๆ และทำให้พวกเขามีตัวตนอย่างที่ครอบครัวและคนรอบข้างไม่เคยให้เขาหรือสนใจเขาเลย

4.ความสัมพันธ์ของเธอและเขาใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์  แม้เราจะพยายามถามว่าเธอและเขารู้จักกันได้อย่างไรในโลกออนไลน์ เธอพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก บอกได้แต่เพียงว่าปกติก็แอดเพื่อนกันทีละเยอะๆ แนะนำต่อกันมา จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  ผมเคยเข้าไปดูในกล่องข้อความของเด็กหายหลายคนที่ออนไลน์ Facebook ทิ้งไว้ในคอมพิวเตอร์ที่บ้าน พบว่ามีข้อความจำนวนมากถูกส่งหาเด็ก ส่วนใหญ่เป็นข้อความทักทาย จีบ ชวนคุย ชวนออกไปเที่ยว แม้กระทั่งชวนขอมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ทักทายกันในประโยคแรกความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ก่อตัวได้รวดเร็วมาก  เด็กใช้เวลาว่างส่วนใหญ่คุยกับเขาไม่นานนัก พวกเขาก็ตัดสินใจแต่งงานกันในโลกออนไลน์แม้ว่าจะไม่เคยพบตัวจริงกันมาก่อน  ปัญหาสำคัญของเด็กที่หายไปในลักษณะนี้ เกือบ 100% เด็กมักจะไปมีเพศสัมพันธ์กันและที่น่าตกใจคือ มักไม่มีการป้องกันการตั้งครรภ์หรือป้องกันโดยไม่ถูกวิธี  นั่นจะทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาในอนาคต ทั้งการตั้งครรภ์ไม่พึ่งประสงค์ การทำแท้งเถื่อนอย่างไม่ปลอดภัย และการทอดทิ้งเด็กเพราะเลี้ยงดูไม่ไหว หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าปัญหาท้อง แท้ง และทิ้ง

5.หลังจากพวกเราติดตามเธอจนพบแล้ว จึงพาเธอมาพูดคุยด้วย  ทำให้ทราบว่าปัจจัยจากครอบครัวมีความสำคัญมากที่เป็นจุดแตกหักให้เธอตัดสินใจออกจากบ้านไป  การใช้ความรุนแรง การด่าว่า การใช้กำลังทำโทษ ล้วนเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เด็กสาวหนีออกจากบ้านและไปอยู่กับคนที่เธอเพิ่งรู้จักกันในโลกออนไลน์

เธอยิ้มอายๆ บอกว่าเธอรักเขา เธอยอมเปิดใจว่าเคยมีแฟนมาแล้วหลายคน  ทุกคนรู้จักกันมาจากในอินเทอร์เน็ต  หลังจากเธอกลับมาบ้านแล้วเธอยังคุยกับคนในอินเทอร์เน็ตอยู่ เพราะเธอยังต้องการและตามหาความรัก  เราคุยกับครอบครัวถึงเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อลดช่องว่างและเพื่อให้เธอได้เจอความรักในโลกของความเป็นจริงบ้าง

เธอยกมือไหว้พวกเราเพื่อลากลับ เราย้ำกับเธอว่า ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจให้รีบโทรหาพวกเรา ให้คิดว่าพวกเราคือเพื่อน เธอยิ้ม กล่าวขอบคุณ และกลับไปพร้อมครอบครัวในขณะที่พวกเราได้แต่มองหน้ากันและยิ้มแห้งๆ

นึกถึงตอนเราอายุ 14 ปีที่ยังไม่มีความรักบนโลกออนไลน์เกิดขึ้น...