เบื้องหลังฟลอยด์-ปาเกียว (ยิ่งกว่าน้ำเน่า)
เปิดเบื้องหลังศึกซูเปอร์ไฟต์ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์-แมนนี่ ปาเกียว ที่เต็มไปด้วยเรื่องของธุรกิจและผลประโยชน์
เฟซบุ๊ก Sodsroi Sawsangvean
เรื่องมันยาว แต่คุณอยากรู้กันไหม !?!?
‘ฉัตรชัย’เปิดใจสัมผัสไฟต์หยุดโลก / สาวไทยแฉเล่ห์ลึก.."เมย์เวทเธอร์"
เกมการชกของศึกซูเปอร์ไฟต์แห่งยุค ระหว่าง "ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์" กับ "แมนนี่ ปาเกียว" นั้นสิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อเที่ยงวันอาทิตย์ที่ 3 พ.ค.ตามเวลาไทย (คืนวันเสาร์ที่ 2 พ.ค.) แต่เบื้องหลังควันหลงนั้นมี ทัศนะวิจารณ์ให้ตามมาเป็นที่ครหากันมากมาย ถึงผลการชกที่ออกมาแบบค้านสายตาผู้คนทั้งโลกจำนวนไม่น้อย เมื่อจอมทำเงินฉายา"มันนี่"เป็นผู้ชนะไปแบบเอกฉันท์ แถมค่อนข้างขาดลอยเสียด้วย
หลังการชกสิ้นสุดในช่วงไม่กี่ชั่วโมงถัด มายังไม่ทันจะข้ามวันด้วยซ้ำ สำนักข่าวหลายแหล่งต้องพากันเปลี่ยนเนื้อข่าว หาดหัวต้นฉบับใหม่ก่อนจะออกนำเสนอตามแผงขายหนังสือในวันรุ่งขึ้น เมื่อ "ฟลอยด์" ได้ตัดสินใจโยนเข็มขัดแชมเปี้ยนที่ตนครอบครองทิ้งเสียแล้ว อย่างไม่ใยดี (เป็นสำนวนหมายถึงสละตำแหน่งเท่านั้นนะครับ ไม่ได้โยนเส้นจริงๆทิ้งหรอก)
ฟลอยด์ ให้สัมภาษณ์สื่อเป็นทางการ ด้วยสาเหตุเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นๆได้ครองแชมป์กันบ้าง ขณะที่ "ปาโก้" ฟรานซิสโก้ วัลคาเซล ประธานใหญ่ WBO ออกมาเผยทาง "ทวิตเตอร์" ว่า ถึงฟลอยด์จะชนะ แต่แชมโลก WBO ก็จะยังคง"ว่าง"ลง นั่นหมายถึง การชกครั้งนี้ ไม่ได้รับการยอมรับและอนุมัติจากองค์กรมวยโลก ซึ่งเป็นแชมป์ฟากฝั่งของปาเกียว
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผมเข้าใจได้ในทันที ว่าเหตุใด งานแถลงข่าวเป็นทางการ จึงมีเพียงเข็มขัดมรกต (หรืออาจทำด้วยทับทิม จากคำวิจารณ์ของช่างฝีมือชาวไทย) ราคา 32 ล้านบาทของ WBC เพียงเส้นเดียวเท่านั้น ที่ได้ตั้งโชว์ในงานแถลงข่าวก่อนหน้าการชก
ความคืบหน้าจากนี้จะเป็นเช่นไร ต้องคอยติดตามกันต่อไป แต่เกร็ดเรื่องราวที่น่าสนใจตอนนี้ คือการไปฟังความเห็นของ "ครูหนึ่ง" ฉัตรชัย สาสะกุล คนไทยเพียงหนึ่งเดียว ที่ได้รับเกียรติจากปาเกียว ให้เข้าชมการชกของตนแบบใกล้ชิดถึงในห้องพักนักมวยกันเลยดีกว่า
"ครูหนึ่ง" ฉัตรชัย ผู้จุดประกายให้ปาเกียวได้แชมป์โลกเส้นแรก ด้วยการถูกน็อกไปในยกที่ 8 เมื่อ 17 ปีที่แล้ว (ธ.ค.2541) ได้รับเกียรติจากอดีตคู่ปรับออกไอดีการ์ดเป็นกรณีพิเศษ เข้าไปชมการชก ในเอ็มจีเอ็ม แกรนด์ โฮเต็ล แอนด์ คาสิโน นครลาสเวกัส ท่ามกลางผู้ชมในเวทีราวๆ 17,000 คนเลยทีเดียว หลังเกมการชกสิ้นสุด เจ้าตัวโทรสายตรงข้ามทวีปจากอเมริกา เล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างละเอียด
โดยฉัตรชัยเดินทางจากลอสแองเจลิส กับเพื่อนอีกสามคนคือ "เสือดาว" หรือ มิสเตอร์ อารอน มาลาสซิวสกี้ (AAron Malaszewski) ฝรั่งอังกฤษเชื้อสายโปแลนด์ หัวหน้าโรงยิม"SK MUAYTHAI"ที่ ฮันติงตั้น บีช ใกล้กับแอลเอ. มาตั้งรกรากอยู่ในอเมริกา พร้อมภริยาสาวชาวไทย "เอิ้น"สุรัตติยา สินธวาชีวะ ซึ่งเกิดที่ฮาวายแต่พูดไทยได้ชัดเจน เพราะย้ายนิวาสถานจากเมืองไทยมาตั้งแต่ 8 ขวบ ตามด้วย"กรเพชร" นักมวยไทยอีกรายที่มาเป็นครูฝึก ทั้งสี่ตะบึงรถยนตร์ส่วนตัวจากแอลเอ ในแคลิฟอร์เนีย ข้ามทะเลทรายเข้าสู่ลาสเวกัส มลรัฐเนวาด้า ระยะทาง 270 ไมล์ เพื่อมาชมศึกมวยโลกนัดซูเปอร์ไฟต์ครั้งนี้
"เอิ้น" สุรัตติยา สาวมั่นวัย 30 เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศมวยโลกนัดนี้ว่า "แรกๆทุกอย่างนั้น ดูตื่นเต้นคึกคักมากเมื่อพวกเรามาถึง แต่พอถึงช่วงเปิดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เรากลับพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันถูกกำหนดไว้หมดโดยฟลอยด์ตั้งแต่ต้น เขาเป็นคนออกกฏใหม่และเปลี่ยนแปลง
เริ่มจากเรื่องงานแถลงเป็นทางการ ปกติที่ผู้จัดมักจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมฟรี แต่ทางฟลอยด์กับแจ้งให้เก็บเงินผู้เข้าฟังการแถลงข่าวคนละ 10 เหรียญสหรัฐ (ราว 320 บาท) พร้อมอ้างว่า จะนำเงินไปให้เด็กๆเพื่อการกุศล แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับเป็นฟลอยด์ที่ให้ลูกน้องไปกว้านซื้อเหมาตั๋วเข้าชมเองจนหมด แล้วขายในราคา 180-200 เหรียญ นอกจากนี้ ก็ยังเปลี่ยนไอดีการ์ดทุกๆชั่วโมง เพื่อสกรีนคนคอยกันไม่ให้ บอร์ดี้การ์ดและกองเชียร์ของปาเกียวเข้ามาอารักขาได้อย่างสะดวก เมย์เวทเธอร์พยายามทำทุกอย่างให้เป็นงานยากสำหรับปาเกียว..!!"
เมื่อฟังถึงตอนนี้ ผมเองจึงคลายความสงสัย ว่าเหตุใดในวันแถลงจึงได้มีนักข่าวน้อยอย่างผิดสังเกตุ เมื่อเห็นภาพโดยรวมผ่านทางยูธูป เพราะบรรยากาศเหล่านั้น ผมเคยได้ไปสัมผัสมาแล้ว ในศึกปาเกียว กับ อัลเจียรี่ ที่เกาะมาเก๊า ถึงแม้จะต่างสถานที่ แต่ก็ยังเชื่อในความยิ่งใหญ่ของมวยโลกระดับนี้ว่า ภาพรวมคงไม่ต่างกันเท่าใด
"เอิ้น"และ"เสือดาว" สองสามีภรรยา ช่วยกันอธิบายให้ฟังอีกว่า ฉัตรชัยนั้นได้ ไอดีการ์ดเพียง 2 ใบเท่านั้น "ครูหนึ่ง"จึงได้เข้าไปชมภายในสนามกับเสือดาวผู้เป็นสามีชาวฝรั่ง
ขณะที่เอิ้นและกรเพชรต้องชมอยู่ภายนอก แบบนั่งดูจอทีวีเสียเงิน หรือที่เรียกว่า "โคลส เซอร์กิต" (Closed Circuit) แต่หากกลับไปดูเปเปอร์วิว ที่บ้านก็จะมีราคา 50 เหรียญต่อทีวีเครื่องเดียว และ 100 เหรียญสำหรับภายในบ้านหนึ่งหลัง ผู้บริโภคล้วนแต่ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น ผิดกับในเมืองไทย ที่ช่อง 7 สี ยอมควักจ่ายลิขสิทธิ์ครั้งนี้สูงถึง 10 ล้านบาทเลยทีเดียว"
"เอิ้น" เล่าต่ออีกว่า "จริงๆแล้วในใจพวกเราเชียร์ปาเกียว แต่เมื่อมาสัมผัสและได้ดูด้วยตาแล้ว เห็นได้ชัดว่า ที่ลาสเวกัสนี้ มันเป็นธุรกิจ การตลาดไปหมด เรารู้ได้เลยว่า ใครคือคนที่คุมลิขสิทธิ์ต่างๆไว้ทั้งหมด เขาสามารถคอนโทรลได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจุดไหน มุมไหน หรือใครจะขึ้นเวทีก่อนใคร และแม้แต่เขาจะเลือกใช้กรรมการคนไหนบ้างมาตัดสิน เพราะมันเป็นโปรโมชั่นของเขา ที่เขากำหนดการจัดการได้เองทั้งหมด การชกครั้งนี้ จึงมีผลออกมาไม่แฟร์อย่างที่เห็นๆนี่แหละ!!"
มาถึงฉัตรชัยบ้าง เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า "หลังการชกจบสิ้นลง ไม่เพียงแต่เฉพาะคนฟิลิปปินส์หรือชาวเอเชียที่เข้าไปดูเท่านั้น แต่แฟนมวยในเวทีส่วนใหญ่เต็มความจุดเกือบหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคน พากันโห่ใส่ฟลอยด์หลังประกาศผลการตัดสินให้เขาชนะตัว"มันนี่"เองก็คงไม่พอใจ ถึงกับปีนเชือกเวทีที่มุมขึ้นไปตะโกนใส่คนดูอย่างนั้น ตัวผมเองตอนแรกคุยกับทีมงานของปาเกียวที่เอาตั๋วชมมาให้ เขาบอกว่าอาจจะให้ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวหลังการชกเสร็จ แต่พอถึงเวลาจริงคนเยอะมาก คงไม่สะดวกแน่ ผมก็เลยปลีกตัวออกมา และคิดว่าคงจะไปเจอปาเกียวอีกครั้งที่แอลเอ ก่อนผมจะกลับเมืองไทยในวันที่ 8 พ.ค. ซึ่งกว่าจะถึงบ้านก็คงเป็นวันที่ 10 พ.ค."
นี่เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของคนไทย ที่ได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศ ของศึกกำปั้นหมื่นล้านนัดหยุดโลก คู่นี้ ระหว่าง ฟลอยด์ กับ ปาเกียว
ที่มา https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=621297194639180&id=555361137899453