‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

28 มิถุนายน 2558

“บอกเล่าให้ใครฟัง...ก็ไม่มีใครเชื่อ เพื่อนหาว่าเราบ้า แม่ก็หาว่าบ้า ตกอับเพราะเราไม่มีเงิน”

โดย...ปอย  ภาพ...ทวีชัย ธวัชปกรณ์

“บอกเล่าให้ใครฟัง...ก็ไม่มีใครเชื่อ เพื่อนหาว่าเราบ้า แม่ก็หาว่าบ้า ตกอับเพราะเราไม่มีเงิน”

หนุ่มร่างสูงใหญ่ ลุคสมาร์ท หุ่นเป๊ะ บ่งบอกถึงการมีวินัยสูงในการดูแลตัวเอง อติกานต์ หนุนภักดี บอกเล่าเรื่องซีเรียสเมื่ออดีตราวสิบปีที่ผ่านมา และเป็นจุดผกผันเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เขาได้หันกลับมาทำงาน Life Coaching งานที่สามารถช่วยนำพาผู้กำลังเผชิญสถานการณ์จนมุม อับจนกับหนทางในชีวิตได้ค้นพบแสงสว่าง ด้วยการโค้ชให้คำแนะนำทางออกของปัญหา นำเสนอทางเดินใหม่ๆ ให้แก่คนที่เผชิญกับความทุกข์ โดยไม่มีคำว่าหมดความหวังจนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีคำว่าวันรุ่งขึ้น

 “โค้ชจิ๊บ อติกานต์” บอกงานโค้ชเป็นงานเสริมสร้างพลังชีวิตให้ทั้งกับตัวเขาเอง และให้ทั้งกับคนที่เข้ามาขอคำปรึกษาให้เขาเป็นโค้ชชีวิต โดยใช้ศาสตร์โค้ชชิ่งที่ร่ำเรียนมาบวกกับประสบการณ์ชีวิตที่เคยพานพบความย่ำแย่ของตัวเอง จากคนหมดหวังไม่มีงานทำ ไม่มีเงินในกระเป๋า กลายเป็นคนที่แทบไม่มีใครให้ความเชื่อถือ ตอนนี้นอกจากงานโค้ชชีวิตแล้ว อติกานต์ ยังได้รับอีกโอกาสกับงานเบื้องหน้าจอโทรทัศน์ในหน้าที่พิธีกรรายการ “ครอบครัวเดียวกัน” ทางช่องไทยพีบีเอส

นี่คือชีวิตใหม่ งานใหม่ และคือชายหนุ่มในวัย 43 ปีคนใหม่ ที่ขอโบกมือลาจากชีวิตในวันเก่าๆ และพร้อมเริ่มต้นด้วยความมั่นคงแข็งแรงทั้งจิตใจและร่างกาย ชีวิตดีขึ้นเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง จากคนที่เคยถูกตราหน้าว่า...บ้า!!!

‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

 

ชื่อเสียงเข้ามา...ตูม! โดยไม่ได้ตั้งตัว

ผู้ชายนามสกุลดี มีดีกรีเป็นนักเรียนนอกเนื้อหอมเพิ่งกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ใช้ชีวิตในวงสังคมไฮโซ จิ๊บ-อติกานต์ หนุนภักดี หรืออีกสมญา “จิ๊บ-หักหลังผู้ชาย” ชื่อที่เรียกตามพ็อกเกตบุ๊กสุดโด่งดังติดอันดับเบสต์เซลในสมัยนั้น ทำให้เขาสามารถเลือกชีวิตสุดหรูหราอย่างที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน สนุกสนานอยู่กับผับบาร์และงานปาร์ตี้ไม่มีว่างเว้น งานอีเวนต์ดังๆ ในวันนั้นรับรองว่าต้องได้พบเจอชายหนุ่มผมยาว ผิวเข้ม เสียงดังเฮฮา ติดโผเป็นเซเลบสร้างสีสันอยู่แทบทุกงาน เป็นการเลือกใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเองที่เขานิยามว่า...สุดโต่ง 

อติกานต์ บอกว่า เลือกใช้ชีวิตสุดโต่งแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่มพ่อแม่ส่งไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา เขาก็เลือกไปใช้คลุกคลีตีโมงอยู่ในแก๊งอันธพาล จนเพื่อนเกเรพาไปติดคุกที่ต่างประเทศ เกือบเอาชีวิตไปทิ้งหลายต่อหลายหน

พอกลับมาเมืองไทยนักเรียนนอกคบหาเพื่อนไฮโซด้วยกัน แล้วจู่ๆ ชีวิตก็พลิกผันให้โด่งดังโดยไม่ทันตั้งตัวก็ว่าได้ เมื่อออกพ็อกเกตบุ๊กชื่อ “หักหลังผู้ชาย” จับปากกาเป็นนักเขียนคู่กับเพื่อนสนิท กิ๊ก-อนิศ โอสถานุเคราะห์ กลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ที่นำพามาทั้งเงิน ชื่อเสียง และผู้หญิง...ที่ไม่มีซ้ำหน้า

‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

 

แต่ชีวิตคนเราช่างไม่มีอะไรแน่นอน ใช้ชีวิตหรูๆ อยู่ดีๆ ชีวิตเริ่มร่วง เงินเริ่มร่อยหรอ จิตตก สมาธิในการทำงานเริ่มไม่สร้างสรรค์ งานก็เริ่มลดจนเข้าสู่ภาวะไม่มีทั้งงาน ไม่มีทั้งเงิน และแทบไม่มีเพื่อนฝูงที่เคยห้อมล้อมเฮฮาอย่างในวันรุ่งโรจน์สนุกสนาน

“ตอนนั้นปี 2551 ครับ ผมได้สัมผัสกับความประหลาดลี้ลับ ‘เขา’ พูดเรื่องความตายของผมซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าคืออะไร? เล่าให้ใครฟังทุกคนก็บอกว่าเราเพี้ยน บ้า ผมเองก็คิดว่าตัวเองเพี้ยน คือตอนนั้นเรารู้สึกว่าไม่มีค่า ไม่มีเงิน ไม่มีงาน แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นในหูว่า ผมมันไม่มีประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและต่อคนอื่นๆ เลย จนไม่น่าจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ในราวๆ เดือน มิ.ย.ครับ เสียงก้องในหูที่ได้ยินขึ้นมานี้คงต้องบอกว่าประหลาดลี้ลับ บอกซ้ำๆ ว่า เราไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก แล้วๆๆ แล้วก็มีอีกเสียงบอกแทรกเข้ามา ซึ่งผมก็ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ เพราะทุกคนฟังแล้วก็จะลงความเห็นว่า ‘เพี้ยน’ (หัวเราะ)

 ...เสียงนั้นบอกว่าไป ซานติก้า สิ! ผมก็คิดว่าเคยไปเที่ยวแค่ 2 ครั้ง แล้วก็ไม่ได้ชื่นชอบอะไรเลย แล้วจะไปทำไม?

‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

 

แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้สูญเสียชีวิตกันมากมาย ผมนั่งดูข่าวโทรทัศน์จำได้ว่าน้ำตาไหล หันไปบอกแม่ บอกเพื่อน ก็ไม่มีใครเชื่อ หาว่าผมนี่มันเพี้ยนจริงอะไรจริง แต่สำหรับผมนี่คือสิ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตและทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจเลยนะครับว่า ชะตาชีวิตคนเราบนโลกใบนี้นั้นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ด้วยอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมได้รับรู้ก่อนและเลือกเปลี่ยนแปลงหนทางชีวิตของตัวเราเองได้ เหมือนกับที่เขาบอกเปลี่ยนดวง เรื่องนี้มีจริงนะครับ มีอะไรบางอย่างในโลกนี้ที่ตาเรามองไม่เห็น เรายังไม่รู้อีกมากมาย  

ซึ่งก่อนหน้านั้นสมัยวัยรุ่นเกรียนๆ กลับจากสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ ผมก็พยายามหาคำตอบเรื่องนี้นะ ผมเชื่อในศีล 5 คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับไสยศาสตร์ ก็อยากลองเคยไปบวชวัดสายโหดๆ ตามต่างจังหวัด เข้าป่าช้าอยากเจอผี มีจริงเปล่า? ไปแล้วก็ไม่เห็นมีอ่ะ?!! แต่วันนี้เชื่อแล้วครับว่า มนุษย์เราไม่ได้รู้ไปเสียทุกๆ เรื่อง ภาพนรกสวรรค์เป็นอย่างไร ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับ เพียงแต่วันนี้สิ่งประหลาดที่เคยเกิดขึ้นทำให้ผมเชื่อว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง

แต่ไม่ว่าใครจะว่าผมเพี้ยน สำหรับผมนี่คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดี ผมเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการกินเจมา 6 ปีแล้วครับ แล้วผมก็ยังเลือกใช้ชีวิตสุดโต่งฟิตกล้ามเข้าฟิตเนสอาทิตย์ละ 5 วัน จึงต้องมากินมังสวิรัติ กินไข่ กินนม ผมกินมังสวิรัติได้ 2 ปีแล้ว” อติกานต์ บอกเล่าเรื่องราวผ่านมาที่ทำให้เขาได้ชีวิตใหม่

‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

 

จากนั้นการค้นพบเส้นทางใหม่เริ่มจากการไปปฏิบัติธรรม ไหว้พระ-สวดมนต์เป็นกิจวัตร ก็ยิ่งตอกย้ำภาพความเพี้ยนของเขาในกลุ่มเพื่อนๆ เข้าไปกันยกใหญ่ เริ่มบอกเล่าลือกันปากต่อปากว่าแบดบอยที่เคยมีแฟนครั้งเดียว 4 คน ทุกวันสนุกสนานคลุกคลีตีโมงอยู่แต่ในงานปาร์ตี้ แต่วันนี้กลับเลือกสายวัด ท่าทางจะไม่ปกติจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว

“เพื่อนว่าเราเพี้ยน (บอกพร้อมรอยยิ้มไม่มีวี่แววซีเรียส) หลายคนที่ไม่รู้จักผมก็พานเข้าใจไปว่าเล่นยาจนเพี้ยน ปกติเหล้าผมก็ไม่กิ๊น (เสียงสูง) จริงๆ ครับกินไม่เป็น (ว่าแล้วก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าคนฟัง) ยาเสพติดผมเห็นอยู่รอบตัวแต่ไม่ยุ่งนะเพราะเล่นไม่เป็น แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตผมย่ำแย่ คือ ผู้หญิง ที่พอเราทำพ็อกเกตบุ๊กกับกิ๊ก อนิศ ‘หักหลังผู้ชาย’ ผู้หญิงก็เข้ามาโดยอัตโนมัติเพราะผู้หญิงอ่านหนังสือเราแล้วก็อยากเล่าอยากถ่ายทอดเรื่องที่มีปัญหากับแฟนตัวเองให้เราฟัง ผมมีอภิสิทธิ์ในการรับรู้เรื่องส่วนตัวของเขาและนำมาเผยแพร่ต่อทางหน้าหนังสือ

ชื่อเสียงและเงินทองก็เริ่มเข้ามาอีก เริ่มเป็นคนโด่งดังมีชื่อเสียง ทั้งเหลิง ทั้งเจ้าชู้ เรียกว่าลืมตัวไปสุดเหวี่ยง

และสิ่งที่อยู่ภายในใจคือคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็เพิ่งรู้ตัวไม่กี่ปีมานี้เองนะครับ (หัวเราะ) ชีวิตทุกคืนอยู่แต่ในผับ เพื่อนฝูงเยอะแยะ ไปเที่ยวก็ต้องได้ผู้หญิงเข้ามาใหม่ๆ ทุกครั้ง ผับเลิกก็ต้องมีคนขอกลับไปด้วย (หัวเราะ)

‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

 

ลองนึกภาพนะครับว่า เด็กคนหนึ่งอายุ 20 กว่าๆ เพิ่งกลับจากเมืองนอก วันๆ ก็ปาร์ตี้อยู่กับเพื่อนๆ แล้ววันหนึ่งชื่อเสียงเข้ามาตูมๆๆ ตั้งตัวไม่ทันเลย แล้วผมคิดว่านั่นคือชีวิตอิสระ แต่มันไม่มีหรอกครับคำว่าชีวิตอิสระ อย่างน้อยก็มีคำว่ากรอบที่ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน แต่วันนั้นผมทำตัวให้คนรอบข้างทุกคนเดือดร้อนแล้วกลับมาเดือดร้อนตัวเองอีกต่างหาก ความเจ้าชู้ของเราทำให้ผู้หญิงเจ็บปวด แต่ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเลย รู้สึกแต่ว่าทำไมมันวุ่นวาย (วะ?)...กับแฟน 4 คน ที่ทำให้เราเหน็ดเหนื่อย อย่างไปดูหนังเรื่องเดียวนี่นะครับ ก็ต้องไปดู 4 รอบ อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) พอรับภาระอะไรแบบนี้ไม่ได้ ก็เลิกรากันไปง่ายๆ โดยไม่รู้สึกอกหักหรือเสียอกเสียใจอะไรเลย คิดแต่ว่าทำไมผู้หญิงไม่เข้าใจเรา (วะ?!!)

หนังสือของผมอยู่แผงเบสต์เซลเลอร์ ถึง 2 ปี เงินเข้ามาตลอดครับ ไม่มีคำว่าขาด พอหมดก็เข้ามาใหม่เรื่อยๆ ใช้เดือนละแสนสองแสนนี่เป็นเรื่องธรรมดา เบื่อๆ เมืองไทย ก็บินไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ดาราที่ฮ่องกง-สิงคโปร์ เป็นชีวิตในฝันที่คนอยากมี” อติกานต์ เล่าอย่างออกรส

อกหัก...จนชีวิตแทบไปไม่เป็น

ผู้หญิงรายล้อมมากหน้าหลายตา อติกานต์ เล่าให้ฟังเสียงดัง มั่นใจ และติดด้วยความสนุกสนานเป็นบุคลิกที่หลายคนคุ้นเคยในตัวผู้ชายคนนี้ ซึ่งวันนี้ความเฮฮาก็ยังอยู่ในตัวเขาไม่มีเปลี่ยนแปลง

“วันที่เราเคยมีแฟน 4 คน มีอยู่วันหนึ่งครับผมนั่งดูทีวีอยู่คนเดียวสบายๆ เฮ้ย...ทำไมชีวิตมันสงบอย่างนี้วะ? (ตอนนี้คนฟังเป็นฝ่ายหัวเราะ) มันไม่วุ่นวาย ไม่ต้องสับราง แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวครับ ก็ยังเหลิงอยู่กับชื่อเสียงเงินทองผู้หญิง พอผู้หญิงวุ่นวายกับชีวิตเรามากๆ เข้าสับรางไม่ทัน ผมก็ไม่สนปล่อยเลย ผู้หญิงก็ค่อยๆ ขอเลิกราไปทีละคน เอ้า...เลิกก็เลิกซิ ไม่แคร์ ไม่เคยคิดว่าเราทำให้ใครเขาเสียอกเสียใจ

‘ผมเลือกชีวิตแบบสุดโต่ง’ อติกานต์ หนุนภักดี

 

จนกระทั่งมาเจอกับแฟนที่หลายคนคงรู้จักเพราะเธอเป็นไฮโซชื่อดัง คบกัน 4-5 ปีนานเลยครับ คบจริงจัง แต่ชีวิตในวัยแตะสามสิบผมก็ไม่เคยคิดเรียนรู้รักใครอย่างแท้จริง ก็คบกันไปทะเลาะกันไป ต่างคนต่างมีอารมณ์มีเหตุผล พอทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งต่างฝ่ายก็เลือกที่จะเงียบหายไปเอง โดยไม่มีการง้อกัน (เล่าพร้อมยิ้มบางๆ) เป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด แล้วนั่นก็คือจุดเริ่มของการตั้งคำถาม
ทำไมๆๆๆ กับชีวิต และ (ทำไม?) ซ่อมชีวิตอะไรไม่ได้เลย ทำไมเราจึงเลือกที่จะห่างหายกันไปเฉยๆ แล้วชีวิตผมก็เลือกแก้ไขปัญหาด้วยการพยายามลืม ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย

หนังสือที่เคยรุ่งๆ ดังเป็นพลุก็ค่อยๆ ตกตามสัจธรรม งานน้อยลง เงินน้อยลง แฟนก็ไม่มี จนถึงวันที่แทบไม่เหลือเงินในกระเป๋า ผมก็ใช้ชีวิตซังกะตายไปวันๆ เลือกที่จะหนีไปจากสังคมปาร์ตี้ เพื่อนฝูง จู่ๆ ผมก็หายไปเลย เพื่อจะกลบความไม่เข้าใจในชีวิตช่วงนั้นไป

ตอนนั้นไม่มีจริงๆ ทั้งเงินทั้งเพื่อนไม่มีช่วย บางคนมองเราแล้วดูว่าเราไม่มีอนาคต เขาก็ไม่ช่วย จะช่วยก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์ หรือได้คืน หรือเป็นบุญคุณ ผมก็ใช้ชีวิตแย่ๆ ไปเรื่อย บางวันไม่มีเงินกินข้าว ต้องขึ้นรถเมล์ เวลาขึ้นไปก็อายเหมือนกันนะ เพราะเขาก็มองเฮ้ย...จิ๊บ หักหลังผู้ชายนี่หว่า แต่เราก็ต้องทน ก็เราไม่มีจริงๆ นะ

เพื่อนเที่ยวก็ยังพอมีเหลือนะครับ โทรมาชวนออกไปเที่ยวกันทุกวัน แต่ผมบอกเลิกเที่ยวแล้ว กินเจ พูดธรรมะให้เพื่อนฟังอีก แล้วพอใครเห็นเรา ผ-อ-ม เพราะเรากินเจแล้วเจอใครก็ยังพูดให้เพื่อนๆ ฟัง ว่าไม่เบียดเบียนชีวิตใคร อย่างนี้เพื่อนๆ มันก็ลือว่าผมเพี้ยนนะสิ (ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงดัง)

สิ่งสำคัญที่สุด ไม่เจ้าชู้แล้วครับ แฟนผมคนปัจจุบัน-น้องกวาง (ดาริน แฮนเซน นักแสดงดังสวมบทบาท หมอเอย จากเรื่อง สงครามนางงาม) ผมคบกับเธอมาปีนี้ก็เกือบสิบปีแล้ว ซึ่งพอศึกษาศาสตร์โค้ชชิ่งที่ต้องเรียนรู้นิสัยมนุษย์ทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆ ว่า คนเจ้าชู้เพราะต้องการความมั่นใจ ต้องการความอบอุ่น ต้องการให้คนมารักเยอะๆ ก็แค่นั้นเอง แล้วน้องกวางก็เป็นผู้หญิงคนนั้นที่บอกผมในวันที่ผมย่ำแย่ที่สุด ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เครียดไม่ไหวเพราะไม่รู้จะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป จำได้ว่าผมนอนอยู่บนโซฟาแล้วนอนน้ำตาไหลอยู่คนเดียว น้องกวางก็เข้ามาบอกผมว่า ...จะอยู่กับพี่นะ ไม่ว่าชีวิตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ดี ไม่ดี กวางเลือกอยู่กับพี่แล้ว คำนี้ทำให้ผมได้คิดเลยครับว่า ชีวิตคนเรา เราต้องเลือกที่จะเป็น ชีวิตไม่ใช่การปล่อยให้มันเป็น

คำพูดของแฟนในเวลานั้นทั้งที่คบหากันมาเพียง 2 ปี ประโยคนี้เองครับ ที่ทำให้ผมรู้สึกมั่นคง มั่นใจ และเลิกนิสัยเจ้าชู้ได้โดยสิ้นเชิง จริงๆ ครับ (หัวเราะ) เรื่องนี้ทำลายชีวิตผู้ชายได้นะ แต่ไม่มีเชื้อโรคอะไรที่เกาะกินทำร้ายเราได้ อย่าไปเชื่อว่าสันดานคนเราเปลี่ยนไม่ได้ การมีกิ๊กมีใครคบซ้อนไม่มีความสุขหรอกครับ ผมบอกเลย แล้วคนที่ทำแบบนี้คือคนมีปมในชีวิตทั้งนั้น

 ถ้าคนอย่างผมหยุดเรื่องเจ้าชู้ได้ ใครก็หยุดได้ครับ (หัวเราะ) ประสบการณ์ตรงนี้ก็ได้นำมาใช้ในงานโค้ชวันนี้เหมือนกัน เพราะผู้ชายหลายคนที่เข้ามาปรึกษา ก็ไม่สามารถคอนโทรลเรื่องนี้ได้เลย” อติกานต์ บอกเล่าวันนี้ยังเป็น “จิ๊บคนเดิม” เฮฮาปาร์ตี้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือกลายเป็นคนรักเดียวใจเดียวไปแล้ว 

ตั้งสติครั้งใหม่ ‘โค้ชจิ๊บ’ เลือกสุดโต่งเรื่องงาน

โลกใบใหม่ อาชีพใหม่ อติกานต์ บอกว่า ถ้าให้กล่าวถึงครูของเขา คือโค้ชชิ่งหญิงไทย “โค้ชนุ่น-นภัส มรรคดวงแก้ว” ดึงศักยภาพในตัวคนเก่งฉกาจจนฝรั่งยอมรับ ศาสตร์นี้เป็นที่นิยมทั้งในกลุ่มนักธุรกิจ ศิลปินดาราฮอลลีวู้ด นักกีฬาระดับโลกจึงต้องมีไลฟ์โค้ชกันทั้งนั้น

 อติกานต์ เล่าหลักการ Life Coaching เป็นกระบวนการสนทนาที่ทำให้ผู้คนค้นพบทางออกของปัญหาด้วยตัวเอง อาศัยคำถามอันทรงพลัง การฟังอย่างลึกซึ้ง การใช้ความตั้งมั่นจับประเด็นชีวิตระหว่างสนทนา เหล่านี้คือทักษะในการนำพาให้ผู้รับการโค้ชเห็นจุดที่ตัวเองยืนอยู่ และหนทางที่จะก้าวไปอย่างแจ่มชัด นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ดีขึ้น

“เครื่องมือนี้สามารถนำไปใช้ได้ตั้งแต่เยาวชน กระทั่งคนสูงอายุ ในทุกสถานการณ์ ปัญหา เป็นการเสนอทางเลือกของชีวิต ผมเพิ่งได้ไปโค้ชกับกระทรวงยุติธรรม 40 เคส ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พูดคุยกับคุณยายที่ลูกชายถูกตำรวจจับในคดียาเสพติด เพราะนั่งอยู่ในรถเพื่อนที่มียาเสพติดก็พลอยติดร่างแหไปด้วย บางเคสลูกหาย การพูดคุยโดยผสมไปกับหลักศาสนา แน่นอนครับว่า ชาวพุทธรู้เรื่องการปลงอยู่แล้วละครับ เรามีวัดสั่งสอนเรื่องนี้ แต่การปลงหรือการปล่อยวางบางครั้งไม่มีพลัง ทั้งที่หลายคนที่มีปัญหาเขาพร้อมและมีแรงสู้ต่อไปนะครับ แต่เขาไม่รู้สวิตช์ที่จะเปิดไฟดวงใหม่นั้นอยู่ตรงไหน โค้ชคือคนเปิดสวิตช์นั้นให้เขาสู้ และพร้อมออกมาเรียนรู้ ศาสตร์โค้ชชิ่งคือการสร้างคุณค่าให้คน ซึ่งนี่คือความสุขถาวร 

ผมค้นพบเรื่องนี้ตอนการทำรายการครอบครัวเดียวกัน ทำให้ผมค้นพบเรื่องไลฟ์โค้ช โดยแขกรับเชิญท่านหนึ่งพูดเรื่องนี้ที่ช่วยซ่อมความร้าวของครอบครัวได้กลับมาดีอีกครั้ง แล้วน้องสาวผมซึ่งเป็นหมอก็ไปร่ำเรียนเรื่องนี้จริงจังแล้วก็ชักชวนผมไปเรียนด้วย จนได้ใบ Certificate เป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องนี้จะว่าไปก็คล้ายๆ กับจิตวิทยาประยุกต์ ความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมี และแก้ไขได้ครับ โดยผมคือกระจกสะท้อนสิ่งที่เขาติดค้างอยู่ในใจ ให้เขาเล่า ผมฟัง แล้วสะท้อนกลับๆ ทุกๆ ปัญหาในระยะเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งภาพเหล่านี้ก่อนที่จะมาเจอโค้ชอาจปนเปสับสนอยู่ในหัว แต่การที่ได้คุยกับผมก็จะแนะนำให้เป็นภาพที่ชัดเจนขึ้น อะไรควรแก้ไขก่อน-หลัง และอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวาง

เริ่มงานแรก ผมไปทำงานกับ ดร.ลูกโป่ง (ชิสากัญญ์ ปภาพันธ์เกียรติ) ซึ่งมีเพจธนาคารแห่งความลับ งานนี้ผมขอทำเป็นงานจิตอาสา เพราะอยากฝึกวิชาที่ร่ำเรียนมา เกือบ 50 เคสครับ ที่ไม่มีเฟลเลยสำหรับเพอร์ซันนัลไลฟ์โค้ช มีทั้งผิดหวังกับความรัก ฆ่าตัวตาย หนี้สินเยอะมาก มีทุกกลุ่มทุกวัยและทุกอาชีพครับ ตั้งแต่ดารานักแสดงไปจนถึงนักธุรกิจ หรือพนักงานออฟฟิศ ทุกคนมีปัญหาคล้ายๆ กัน คือความกลัวอนาคต สะสมไปเรื่อยๆ จนทำให้บุคลิกของเขาหม่นหมองโดยไม่รู้ตัว

...เคสหนึ่ง ผู้ชายวันสามสิบกว่าเองครับ แต่สร้างหนี้สินถึง 7 หลัก ทั้งโดนอุ้มโดนกระทืบ อยากหนีปัญหาโดยการฆ่าตัวตาย ผมคุยกับเขาสะท้อนตัวตนของตัวเขาเองให้เขาเห็นสิ่งที่ผมเห็นคือเขาเป็นคนเก่งมาก แต่เป็นคนชอบเสี่ยงและหนี้สินก็เกิดจากนิสัยนี้ ผมคุยกับเขาตั้งแต่การเลือกเรียนซึ่งเขาเรียนจบปริญญาโทด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเขาบอกผมว่าคณะนี้ง่ายดี ผมถามว่าง่ายตรงไหน? เขาตอบว่าไม่มีการสะสมคะแนนเก็บแต่ไปวัดใจเอาตอนสอบเลย แล้วก่อนสอบนี่เขาจะคอนเนกชั่นกับอาจารย์ว่าทิศทางข้อสอบเป็นอย่างไร เป็นคนมีระบบ และมีแผนงานดีมาก แต่นำความเก่งนี้ไปใช้ในทางลบ

เอาเงินชาวบ้านมาหมุนๆๆ โปะๆ แล้ววันหนึ่งก็เจอทางตันจนได้สร้างหนี้สินมหาศาล ผมก็แนะหันเข็มทิศลุยไปอีกด้าน ลองดูไหม คุณเป็นคนเก่งแล้วไม่ธรรมดาแน่ๆ ถ้าสามารถไปเอาเงินคนมาเป็นล้านๆ บาท ลองบริหารหนี้โดยสุจริตได้ไหม คุณทำได้ การคุยกันแล้วส่งภาพสะท้อนกันไปมาแบบนี้ จนวันนี้เขาก็กลับไปเป็นพนักงานออฟฟิศเงินเดือนหลายหมื่นบาท ใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ”

ชีวิตมีทางเดินใหม่ๆ เสมอ อติกานต์ กล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ น้ำเสียงมั่นคงในเส้นทางใหม่ที่เขาเลือกเดิน

Thailand Web Stat