ยงเจิ้งกับโอบามาว่าด้วยจิตวิทยาการระงับข่าวลือ
ฮ่องเต้ยงเจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่ถูกข่าวลือเล่นงานมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน เมื่อขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ
โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์
ฮ่องเต้ยงเจิ้งเป็นฮ่องเต้ที่ถูกข่าวลือเล่นงานมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน เมื่อขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่ชาวบ้านว่าฮ่องเต้ยงเจิ้งขึ้นครองราชย์ด้วยความไม่ชอบธรรม เพราะลอบสังหารฮ่องเต้คังซี แล้วแก้ราชโองการ จากที่ว่าให้องค์ชายสิบสี่เป็นฮ่องเต้ เป็นให้องค์ชายสี่ (ยงเจิ้ง) เป็นฮ่องเต้แทน
ข่าวลือเรื่องการแก้ราชโองการเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยทฤษฎีที่ว่า หากเติมอักษรจีนตัว “สิบ” เพียงสองขีด ก็จะสามารถแปลงสารจากคำว่า “ให้องค์ชายสิบสี่” เป็น “ให้แก่องค์ชายสี่”
เป็นความลงตัวของทฤษฎีลอบสังหารชิงตำแหน่งที่ซับซ้อนแนบเนียนไร้รอยต่อ คนที่รู้หนังสือก็เชื่อ ส่วนที่ไม่รู้หนังสือก็ยังซื้อไอเดียนี้!
กรณีที่ทำข่าวลือนี้เป็นเรื่องใหญ่โตที่สุดกรณีหนึ่งมาจากบัณฑิตที่ชื่อเจิงจิ้ง
เจิงจิ้งเป็นประชาชนชนชั้นบัณฑิต สอบไม่ติดราชการเลยประกอบอาชีพติวสอบเคอจวี่ (ที่ภาษาไทยมักเรียกว่าสอบจอหงวน)
เจิงจิ้งได้ยินข่าวที่พูดถึงฮ่องเต้ยงเจิ้งในแง่ร้ายต่างๆ นานา ข่าวลือบอกว่าฮ่องเต้ยงเจิ้งเป็นฮ่องเต้เลว ทั้งฆ่าพ่อ บังคับแม่ ประหารพี่ ทำลายน้อง โลภมาก ชอบฆ่าคน หลงในกามคุณทั้งสุรานารี ไม่มีอะไรดีสักอย่าง สรุปคือคนคนนี้เป็นเดนมนุษย์ไม่สมควรเป็นฮ่องเต้
เจิงจิ้งยิ่งรับรู้ข้อมูลยิ่งอิน คิดว่าบ้านเมืองมีผู้นำเช่นนี้ไม่ได้ ก่อกบฏมันเลยดีกว่า แต่ก่อกบฏต้องใช้กองกำลัง นักวิชาการจะก่อกบฏได้ที่ไหน เลยให้นักเรียนของตัวไปติดต่อผู้การตำรวจของท้องถิ่นท่านหนึ่งที่ชื่อ เยว่จงฉี
“ใต้เท้าเยว่ ท่านก็แซ่เดียวกับเยว่เฟย (ชื่อสำเนียงจีนกลางของงักฮุย) ถือเป็นลูกหลานตระกูลเยว่ เยว่เฟยต่อต้านพวกจิน ก็เปรียบดั่งท่านได้บัญชาสวรรค์มาต่อต้านพวกแมนจู!” (ชาวจินเป็นบรรพบุรุษของชาวแมนจู)
มีความละคร...
ผลคือผู้การเยว่ไม่แม้แต่หยุดคิด สั่งรวบแก๊งบัณฑิตเจิงจิ้ง ส่งตัวให้ราชสำนักในข้อหายุยงก่อกบฏ
ฮ่องเต้ยงเจิ้งได้ยินคดีนี้ทั้งหมดแล้วรู้สึกทรงพระเซ็งยิ่งนัก ทำไมข่าวลือมันถึงกลายเป็นเรื่องให้ผู้คนจริงจังฝังใจได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใส่ร้ายกันเห็นๆ
“ดูเอาข้านอนดึกตื่นเช้า ใช้เวลาทั้งวันพิจารณาให้ความเห็นฎีกาที่ข้าราชการทั่วสารทิศส่งมา ทำงานวันจันทร์ถึงอาทิตย์ ทั้งปีหยุดแค่วันเกิดข้าวันเดียว ฮ่องเต้ที่ขยันอย่างข้าจะมีสักกี่คน พวกเจ้ายังเชื่อข่าวลือได้ลงคอ!”
“ข้าทำงานทั้งวัน นอนวันละสามสี่ชั่วโมง ถ้าจะให้ข้าหมกมุ่นสุรานารี จะเอาเวลาที่ไหนไปใช้!”
“แล้วยังเรื่องการวิกฤตท้องพระคลัง ที่ต้องจัดระเบียบให้พวกชนชั้นสูงต้องเสียภาษีเพิ่มเติม นี่หรือที่พวกเจ้าเรียกละโมบโลภมาก!”
“ข่าวลือเรื่องแก้ตัวอักษรในราชโองการก็อีก ตกลงพวกเจ้ามีความรู้จริงรึเปล่า! ราชสำนักบันทึกราชโองการ 3 ภาษา มีภาษาจีนแล้วมีภาษาแมนจู ภาษามองโกล ให้ข้าเปลี่ยนภาษาจีนได้แล้วยังไง แล้วอีกสองภาษาล่ะจะแก้ได้ไหม!”
“บัณฑิตอย่างเจ้ายังเชื่อข่าวลือพวกนี้ เรียนหนังสือภาษาอะไร!”
ข่าวลือพวกนี้ถ้าดูจากคอมมอนเซนส์ก็พอจะรู้ได้ว่ากุขึ้นมาแทบทั้งนั้น ยิ่งดูหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยิ่งแล้วใหญ่
หลักฐานทั้งหลายในประวัติศาสตร์บอกได้ว่าฮ่องเต้ยงเจิ้งเป็นหนึ่งในฮ่องเต้ที่ทำงานหนักที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ตลอดชีวิตพระองค์ ทรงพิจารณาฎีกากว่า 4.16 หมื่นฉบับด้วยตัวเอง บันทึกความเห็นที่ฮ่องเต้ยงเจิ้งตอบบางฉบับทรงเขียนตอบเกิน 1,000 ตัวอักษร รวมอักษรตอบกลับในฎีกาทั้งหมดนับ 10 ล้านตัว! ทั้งหมดนี้พระองค์ทำในระยะเวลาเพียง 12 ปี 8 เดือน (ประมาณ 4,247 วัน)!
ที่น่าตะลึงยิ่งกว่า แทนที่จะสั่งประหารเจิงจิ้ง ซึ่งเป็นวิธีการจัดการกบฏทั่วไป พระองค์ไม่สั่งประหาร แม้แต่จะโบยตีก็ไม่มี
ฮ่องเต้ยงเจิ้งลงนั่งอธิบายให้เจิงจิ้งเข้าใจความจริง ถกกันซึ่งๆ หน้า เจิงจิ้งอยากรู้อะไรให้ถามมา จะตอบให้รู้และสำนึกว่าข่าวลือทั้งหมดล้วนเป็นเท็จ
ปรากฏการณ์ฮ่องเต้นั่งถกอธิบายข่าวลือให้คนธรรมดาที่จะก่อกบฏฟัง คงมีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์จีน
แม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์บางอย่างที่เป็นเรื่องส่วนตัวในรั้วในวัง ฮ่องเต้ยงเจิ้งก็ยังเอาออกมาชี้แจงหักล้างให้เจิงจิ้งเข้าใจ
ฮ่องเต้ยงเจิ้งคิดจะเอาชนะข่าวลือด้วยความจริง อธิบายทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็สั่งปล่อยตัวเจิงจิ้ง รับสั่งให้เจิงจิ้งกลับไปอธิบายกับโลกนอกราชสำนักว่าข่าวลือทั้งหมดไม่มีเหตุผล
ฮ่องเต้ยงเจิ้งยังสั่งพิมพ์บันทึกคำอธิบายเหล่านี้แจกจ่าย แล้วให้ข้าราชการกระจายประกาศเนื้อหาให้ชาวบ้านทุกชนชั้นฟัง ฮ่องเต้ยงเจิ้งคิดว่า ด้วยตรรกะและความจริง สุดท้ายคนจะต้องเลิกเชื่อข่าวลือกันไปเอง
ผิดจากที่ยงเจิ้งคาด จากเดิมที่ข่าวลือมีคนรู้บ้างไม่รู้บ้าง คราวนี้เลยกลายเป็นผู้คนรู้ข่าวลือนี้กันทั่ว แถมทำให้มีข้อสงสัยเพิ่มขึ้นว่าบัณฑิตธรรมดาคิดก่อกบฏอย่างเจิงจิ้ง อยู่ดีๆ รอดโทษประหารได้ แถมกลับมาอธิบายให้ผู้คนเข้าใจข่าวลือใหม่ พร้อมบันทึกอธิบายหักล้าง ทุกอย่างลงตัวเกินไป นี่มันต้องเป็นแผนการกลบเกลื่อนความจริงของฮ่องเต้ที่แยบยล...ทฤษฎีีสมคบคิดชัดๆ
แถมเดิมทีที่ข่าวลือค่อนข้างหลักลอย คราวนี้เลยได้ข้อมูลความสัมพันธ์ซับซ้อนในรั้วในวังมาต่อเติมให้ข่าวลือแน่นหนาน่าเชื่อถือ
จินตนาการจึงผนวกเข้ากับความรู้ ณ จุดๆ นี้
ข่าวลือยังแพร่สะพัด จนแม้กระทั่งเมื่อวันฮ่องเต้ยงเจิ้งสวรรคต ข่าวลือนี้ก็ไม่เคยจางหาย
ฮ่องเต้เฉียนหลงขึ้นครองราชย์ต่อมาเห็นแล้วว่าพระบิดาดับข่าวลือด้วยวิธีนี้มีแต่จะไปกันใหญ่ เรื่องแรกๆ ที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทำหลังขึ้นครองราชย์ คือ สั่งประหาร เจิงจิ้งกับพวก ออกคำสั่งริบหนังสือบันทึกคำอธิบายนั้น และให้ถือเป็นหนังสือต้องห้าม!
“ข่าวลือพวกนี้อธิบายได้ที่ไหน สู้ตัดตอนมันทิ้งไป ง่ายกว่าเยอะ” เฉียนหลงคิด
ผลกลับยิ่งไปกันใหญ่ “มันต้องมีความลับที่เจิงจิ้งรู้มากกว่านี้ นี่มันฆ่าปิดปากชัดๆ” หนังสือที่ต้องห้ามกลับกลายเป็นหนังสือที่คนอยากลักลอบอ่านและสะสม
ยิ่งห้ามยิ่งสั่งทำลาย ก็ยิ่งแสดงว่ามันต้องมีข้อความระหว่างบรรทัดที่แท้ทำให้รู้ว่าข่าวลือทั้งหมดก็เป็นความจริง
ฮ่องเต้ที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน ก็ยังไม่พ้นอิทธิฤทธิ์ข่าวลือ
ไม่ว่าจะอธิบายด้วยหลักฐานและเหตุผล หรือตัดตอนก็แล้ว ข่าวลือจะคงอยู่ต่อไป
แท้จริงข่าวลือทั้งหลายคือปมในธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่เคยไว้ใจในคนที่ถืออำนาจเหนือกว่า
ในเมื่อปัญหาข่าวลือมันอยู่ที่จิตมนุษย์ จึงต้องแก้ปัญหาด้วยจิตวิทยา ไม่ใช่แก้ด้วยเหตุผล
ปี 2008 ประธานาธิบดีโอบามา ต้องต่อสู้กับกระแสข่าวลือว่า เขาเป็นมุสลิม แรกเริ่มเมื่อทำโพลมีคนเชื่อว่าข่าวลือนี้เป็นจริงประมาณ 10% แต่เมื่อโอบามาออกมาปฏิเสธว่า “ผมไม่ใช่มุสลิม” คนเชื่อข่าวลือนี้กลับเพิ่มขึ้นเป็น 20%
แสดงว่ายิ่งปฏิเสธ คนยิ่งเชื่อ!?!
นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า การออกมาแก้ตัวโต้งๆ ทำให้คนรู้สึกไม่เชื่อมากขึ้น เพราะจิตใจของผู้คนหวาดระแวง ต่อต้าน และพร้อมจะไม่เชื่อคำจากปากของผู้มีอำนาจเป็นทุนเดิม
แถมจากคำปฏิเสธที่ประชาสัมพันธ์ออกมา ยังทำให้คนที่ไม่เคยรู้ข่าวนี้ ได้เชื่อมโยงคำว่า “โอบามา” และ “มุสลิม” เข้าหากัน จิตใจคนส่วนหนึ่งไม่เคยสนใจหรอกว่า ระหว่างโอบามาและมุสลิมจะมีคำว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” อยู่
หลังๆ โอบามาเลยตอบข่าวลือนี้ว่า “ผมเป็นคริสเตียน...” และอธิบายความเชื่อความศรัทธาเพื่อแสดงตัวเป็นคริสเตียนให้ชัดเจน
ซึ่งก็ช่วยลดความแรงกระพือและความใส่ใจในข่าวลือในหัวของผู้รับสารได้พอควร
เสียดายทั้งฮ่องเต้ยงเจิ้งและเฉียนหลงไม่รู้เคล็ดลับนี้
อิทธิฤทธิ์ของข่าวลือจากความไม่ไว้ใจผู้มีอำนาจร้ายกาจแค่ไหนกัน... จนทุกวันนี้ผ่านมากว่าสองร้อยปี พอพูดถึงฮ่องเต้ยงเจิ้งทีไร ก็ยังมีแต่คนถามว่า “เขาว่ากันว่า...ฮ่องเต้ยงเจิ้งฆ่าฮ่องเต้คังซีแถมปลอมราชโองการ จริงหรือเปล่า...?!?!”