posttoday

ลมหายใจที่รวยรินของ ลิเกไทย

10 กันยายน 2559

การแสดงพื้นบ้านอย่าง “ลิเก” อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยและยังคงความนิยมมาช้านาน ขณะเดียวกันผู้คนจำนวนไม่น้อย

โดย...วรธาร ทัดแก้ว กองทรัพย์ ชาตินาเสียว

การแสดงพื้นบ้านอย่าง “ลิเก” อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยและยังคงความนิยมมาช้านาน ขณะเดียวกันผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ได้อาศัยลิเกเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตและสร้างเนื้อสร้างตัว หลายคนเจริญก้าวหน้าได้ดิบได้ดีมีชื่อเสียงอยู่ระดับแถวหน้าของเมืองไทย ไม่ว่าจะ ไชยา มิตรชัย กุ้ง สุทธิราช จิ้งหรีดขาว วงเทวัญ หรือแม้แต่ ศรราม เอนกลาภ คณะศรราม น้ำเพชร พระเอกดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการลิเกไทยที่กำลังฮอตอยู่ขณะนี้

อย่างไรก็ตาม หลายปีมานี้เริ่มมีเสียงโอดครวญจากคนลิเกว่า งานไม่ค่อยมี ทั้งคนดูก็ลดลงเรื่อยๆ จนกระทบความเป็นอยู่ของคนลิเก โดยเฉพาะคณะลิเกขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบมากกว่าใคร ทว่าจากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ไม่อาจนิ่งเฉยได้ ในปี 2558 จึงได้จัดกิจกรรมเสวนาอนุรักษ์พัฒนาศิลปะการแสดงลิเกพื้นบ้าน ที่ จ.นครสวรรค์ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอจากคนลิเก เพื่อหาทางช่วยเหลือวงการลิเกให้มีการแสดงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ไม่ให้สูญหายไป

ในที่สุดวันที่ 9 ธ.ค. 2558 ก็นำมาสู่การจัดตั้งสมาคมลิเกแห่งประเทศไทยขึ้น โดยได้ “เด่นชัย เอนกลาภ” เจ้าของและผู้ก่อตั้งคณะลิเก เด่นชัย กวางขาว เอนกลาภ เป็นนายกสมาคมคนแรก

ลมหายใจที่รวยรินของ ลิเกไทย

 

เศรษฐกิจไม่ดีไม่มีคนจ้าง

สถานการณ์ของลิเกในห้วงหลายปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน มีเสียงสะท้อนจากคนวงการลิเกหลายคนที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจซบเซาทำให้คณะลิเกมีงานน้อยลงกว่าตอนที่เศรษฐกิจดีอยู่มาก บางคณะแทบไม่มีงาน บางคณะมีบ้างประปราย โดยปัจจัยหลักมาจากปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้คนไม่มีเงินที่จะว่าจ้างไปแสดง และคณะเล็กๆ ดูจะรับผลกระทบมากที่สุด

เด่นชัย เอนกลาภ นายกสมาคมลิเกฯ คนแรก ยอมรับว่า เศรษฐกิจในห้วง 3-4 ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันว่าไม่ดีเลย หลายสาขาอาชีพและหลายวงการต่างได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกันไป วงการลิเกเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด คือ งานน้อย และแทบไม่มีงาน เพราะคนที่จ้างลิเกส่วนใหญ่คือชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา พอเศรษฐกิจไม่ดี ข้าวไม่มีราคา ก็ไม่มีเงินว่าจ้างไปแสดง

“คณะใหญ่และกลางที่มีชื่อเสียงอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าคณะเล็กๆ อย่าง กุ้ง สุทธิราช ไชยา มิตรชัย พวกนี้คณะใหญ่ แม้ราคาว่าจ้างจะแพงเป็นหลักแสนถึงหลายแสนบาท แต่ด้วยชื่อเสียงของพวกเขาก็ยังดึงดูดให้มีงานเข้ามาไม่ขาด เรียกว่ามีจองข้ามปี หรือคณะศรราม น้ำเพชร ที่กำลังมีชื่อเสียงดังในเวลานี้ก็งานชุก คณะผมเองก็ยังพอมี แต่สำหรับคณะเล็กๆ ที่มีจำนวนมากหลายคณะค่อนข้างลำบาก งานไม่มี ช่วงในพรรษาไม่ต้องพูดถึง ต้องรอหลังออกพรรษาไปแล้วถึงเดือน พ.ค.งานจึงมีเข้ามาบ้าง” นายกสมาคมลิเกฯ สะท้อนสถานการณ์ของลิเกในปัจจุบัน

นายกสมาคมลิเกฯ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามจากการก่อตั้งสมาคมลิเกฯ ขึ้นมาก็ทำให้วงการลิเกกลับมาตื่นตัวในระดับหนึ่ง เพราะทางสมาคมโดยการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดโครงการถ่ายทอดการแสดงพื้นบ้านของเด็กและเยาวชน นำร่อง 4 จังหวัด ได้แก่ จ.นครปฐม เพชรบุรี พิจิตร นครราชสีมา และโครงการมหกรรมลิเกสี่ภาค ซึ่งจัดแสดงที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับดีมาก

“ปีหน้า 2560 สมาคมยังจะคงจัดโครงการถ่ายทอดการแสดงพื้นบ้านของเด็กและเยาวชน แต่จะเปลี่ยนไปจังหวัดอื่นหมุนเวียนกันไป ขณะที่โครงการมหกรรมลิเกสี่ภาค จะจัดเทิดพระเกียรติในหลวงในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา เป็นลิเกทรงเครื่อง พร้อมนิทรรศการฟื้นฟูลิเกทรงเครื่องขึ้นมาด้วย”

ลมหายใจที่รวยรินของ ลิเกไทย

 

คุณภาพไม่ถึง ฉุดภาพลักษณ์ลิเกตกต่ำ

ขณะที่ “บุญเลิศ นาจพินิจ” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ลิเก) ก็มีความเห็นสอดคล้องกันว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ไม่ว่าวงการไหนก็หากินลำบาก ลิเกก็ตกอยู่ในวัฏจักรเดียวกัน เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีคนก็ไม่มีเงิน ส่วนลิเกก็ไม่มีงานเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นอยู่ขณะนี้ คือ คนดูลิเกลดน้อยลง อาจจะด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป จึงทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปด้วย

“สังคมเราเปลี่ยนแปลงเร็วนะ ตอนนี้เข้าสู่สังคมดิจิทัล เทคโนโลยีอะไรๆ ก็ก้าวหน้าเร็วมาก มีส่วนทำให้พฤติกรรมของคนดูลิเกเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยไปดูการแสดงหน้าเวทีก็เลือกที่จะดูทางหน้าจอโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน หรือดูทางโซเชียลมีเดีย เช่น ทางเฟซบุ๊ก ยูทูบ แล้วคนที่ดูส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ส่วนเด็กๆ เยาวชนสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจกันแล้ว เป็นเรื่องที่น่าห่วงเหมือนกัน เกรงว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่มีคนมาสืบทอดอนุรักษ์ไว้ ควรที่ภาครัฐจะต้องเข้ามาดูเล ขณะที่ศิลปินลิเกเองก็หลงไปติดกับดักของนายทุน จนบางทีก็เป็นอันตรายต่อนาฏศิลป์แขนงนี้โดยไม่รู้ตัว”

ศิลปินแห่งชาติ สาขาการแสดง (ลิเก) กล่าวต่ออีกว่า สมัยก่อนนายทุนเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาศิลปินลิเก แต่ปัจจุบันศิลปินเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหานายทุน ซึ่งตนมองว่าไม่ได้ส่งผลดีต่อวงการลิเกหรือคณะลิเกแต่อย่างใด เพราะผลประโยชน์ส่วนใหญ่มักตกกับนายทุน ขณะที่ศิลปินได้เพียงน้อยนิดไม่พอเลี้ยงคณะ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนมาก

“สมัยผมบันทึกเทป เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ เรื่องเดียวได้ 4-5 แสนบาท นายทุนเดินมาหาเองเลยไม่ได้ไปหาเขา แต่ปัจจุบันศิลปินเราเดินเข้าหานายทุน เข้าห้องอัดได้เงินมา 2-3 หมื่นบาท ไม่พอเลี้ยงคณะหรอก ไหนจะค่าเครื่องแต่งกายซึ่งค่อนข้างแพง ค่าดนตรีปี่พาทย์ เครื่องเสียง นักแสดง แล้วหัวหน้าคณะจะเหลืออะไร แต่ก็ยังนิยมทำกันอยู่เพราะต้องการชื่อเสียง แต่ผมมองว่าไม่คุ้ม สู้เราพัฒนาและสร้างคณะให้คนดูยอมรับขึ้นมาเองจะดีกว่า ยั่งยืนกว่า” ศิลปินแห่งชาติ กล่าว

ศิลปินแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ยังมีปัญหาอีกอย่างที่ทำให้วงการลิเกตกต่ำโดยที่หลายคนคิดไม่ถึง ก็คือ การที่มีคณะลิเกเกิดขึ้นมามากมาย แต่ว่าคุณภาพยังไม่ถึงขั้น ซึ่งก็เกิดจากการที่มีศิลปินลิเกบางคนพอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของประชาชนขึ้นมาบ้าง ก็ตัดสินใจออกจากครูบาอาจารย์หรือคณะเดิมมาตั้งคณะของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วความสามารถและประสบการณ์ทางด้านลิเกยังไม่มากพอด้วยซ้ำ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพเท่าที่ควร จึงมีส่วนทำให้ภาพลักษณ์ส่วนหนึ่งของลิเกตกต่ำไป

“ประกอบกับการแต่งกายของลิเกสมัยนี้ไม่ค่อยสมกับบทบาทของเรื่องที่ทำการแสดง ทำให้คนดูไม่อินหรือไม่มีอารมณ์ร่วม เช่น คนที่รับบทขอทานก็แต่งกายไม่เหมือนขอทาน เป็นต้น ถ้าถามว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นไหม ในสายตาผมมองว่าลิเกไทยพีกถึงขีดสุดแล้วนะ แต่ที่มันซบเซาก็ด้วยสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ส่วนที่คนดูลิเกน้อยลงเพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้คนมีทางเลือกอื่นไม่ต้องไปดูหน้าเวทีอยู่บ้านก็ดูได้ สิ่งที่อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วย คือการหาพื้นที่เปิดเวทีการแสดงให้ชาวลิเก เพื่อสร้างการรับรู้ให้คนไทยเห็นความสำคัญ พร้อมส่งเสริมให้มีการสอนลิเกให้กับเด็กและเยาวชนเพื่อที่พวกเขาจะได้มีอาชีพติดตัว ขณะเดียวกันก็เป็นการสืบทอดศิลปะการแสดงแขนงนี้ไม่ให้สูญหายไปจากสังคมไทยด้วย” ศิลปินแห่งชาติ ทิ้งท้าย

ลมหายใจที่รวยรินของ ลิเกไทย

 

ลิเกหน้าจอ ความบันเทิงยุคดิจิทัล

รายการโทรทัศน์ยุคดิจิทัล นอกจากจะต้องเอาใจกลุ่มเด็กที่ใจถอยห่างจากสื่อโทรทัศน์ไปแล้ว ยังต้องเพิ่มกลุ่มผู้ชมเป็นกลุ่มที่ยังชื่นชอบมหรสพแบบไทยๆ ด้วย ช่องวัน (One HD) จึงผุดรายการโทรทัศน์ที่นำรูปแบบของมหรสพพื้นบ้านของภาคกลางที่ทุกคนรู้จักดีอย่างลิเก แต่นับวันจะหาดูได้ยากเต็มทีมาออกวิกการแสดงในช่องโทรทัศน์ เอาใจคนเมืองที่หาโอกาสดูลิเกได้ยาก เอาใจพ่อยกแม่ยกผ่านจอทีวี ซึ่งทางผู้ผลิตนิยามว่าเป็นความบันเทิงรูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัล โดยให้การประชันระหว่างลิเกเสียงหวานกับตลกเสียงฮา โดยใช้นักแสดงลิเกรุ่นใหญ่มาเรียกเรตติ้ง ประกบด้วยนักแสดงลิเกน้องใหม่ให้ร่วมแสดงความสามารถด้วย

จิ้งหรีดขาว วงศ์เทวัญ นางเอกลิเกและศิลปินลูกทุ่งชื่อดังขวัญใจพ่อยกแม่ยก กล่าวว่า พ่อยกแม่ยกเรียกร้องอยากเห็นลิเกทางทีวีบ้าง ซึ่งรายการลิเก HD ได้นำโชว์ลิเกแบบไทยๆ มาออกอากาศทางโทรทัศน์ให้ได้ชมกัน ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะตนเท่านั้นแต่ยังขนมาทั้งคณะ เพราะนับวันจะหาดูลิเกได้ยากเต็มที

“ดีใจมากที่สถานีโทรทัศน์ให้ความสำคัญกับลิเก มหรสพไทยที่หลายคนละเลย พอรู้ว่าจะได้มาเล่นลิเกออกทีวีตื่นเต้นสุดๆ เตรียมซ้อมบท เตรียมชุดของตัวเองมาโชว์เต็มที่แถมได้มาเล่นกับพี่ๆ นักแสดงตลกหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น พี่เอ๋ เชิญยิ้ม พี่จอย ชวนชื่น ซึ่งเขาเคยเล่นลิเกกันมาก่อน พร้อมด้วยน้องๆ ลิเกรุ่นใหม่จากคณะลิเกชื่อดังอย่าง อาทิตย์ ลูกท่าเรือ คณะศรราม น้ำเพชร คมคาย ลูกพ่อขุน เฟิร์น-ดวงพร และลูกกบ คณะลูกกบเขี้ยวเพชร เรียกว่าเป็นรายการที่รวมลิเกเสียงหวาน พร้อมมาเรียกเสียงฮากันถึงหน้าจอเลยทีเดียว”

ขณะที่ ลูกกบ เสียงหวาน (วิศรุต พุ่มพวง) จากคณะลิเกลูกกบเขี้ยวเพชรที่ฝีมือการร้องเพลงโดดเด่นจากการประกวดรายการศึกวันดวลเพลง ความสามารถด้านลิเกเตะตาผู้บริหารช่อง One HD จึงมีโอกาสประชันเสียงกับลิเกรุ่นใหญ่ในรายการลิเก HD ซึ่งในฐานะลิเกรุ่นใหม่ ลูกกบ กล่าวว่า

“แม้ว่าที่บ้านของผมไม่ได้เป็นนักแสดงลิเก คุณพ่อเป็นนักดนตรี แต่ผมก็คุ้นเคยกับลิเกมาตั้งแต่เด็ก เริ่มแสดงลิเกมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ปัจจุบันเป็นหมอทำขวัญนาคด้วย ตระเวนประกวดร้องเพลงมาหลายรายการ แต่ได้มีโอกาสมาแสดงลิเกผ่านหน้าจอทีวี ซึ่งสำหรับลิเกน้องใหม่แทบหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมรู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสที่หลายคนไม่มี การได้ขยายจำนวนผู้ชมผู้ฟังออกไป ทำให้ผมหวังว่าการสืบทอดลิเกให้รุ่นลูกรุ่นหลานจะยังมีน้องๆ รุ่นใหม่เกิดขึ้นด้วย โดยส่วนตัวผมตั้งใจแล้วว่าจะร้องลิเกและใช้คำว่านักแสดงลิเกจนกว่าชีวิตของผมจะหมดลง”

ลมหายใจที่รวยรินของ ลิเกไทย

 

นับเป็นการปรับตัวของลิเกครั้งสำคัญที่บทพระเอกและนางเอกจำเป็นต้องแทรกมุขตลกลงไปด้วย จากเดิมที่พระนางจะต้องนิ่งๆ อย่างเดียว ลูกกบ มองว่า

“เป็นความท้าทายใหม่ที่ต้องปรับตัวสำหรับคนที่ชินกับลิเกแบบดั้งเดิม เพราะบทพระนางจะไม่ค่อยตลกเท่าไหร่ แต่ลิเกในโทรทัศน์เป็นลิเกที่ต้องเอาแบบใหม่และเก่ามาผสมกันให้กลมกล่อม ดังนั้นก็ต้องปรับตัว เพิ่มมุขตลก เราต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้แสดงคนอื่นๆ”

การเปลี่ยนแพลตฟอร์มของลิเกจะอยู่รอดได้นานแค่ไหน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของตัวแสดงระดับแม่เหล็กเท่านั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากโฆษณาในช่วงเวลาที่ออกอากาศ และการต้อนรับของ
ผู้ชมด้วย แม้ว่าล่าสุดได้เช็กไปที่ต้นสังกัดของรายการ ลิเก HD พบว่ารายการยังไม่มีการบันทึกเทปเพิ่มเติม เนื่องจากต้องรอการปรับผังรายการที่แน่นอน สำหรับแฟนานุแฟนของลิเกทั้งหลาย คงต้องจับตามองว่าลิเกในทีวีดิจิทัลจะอยู่รอดหรือไม่?