posttoday

"สิโรจน์ ฉัตรทอง" จากดินสู่ดาว

09 ตุลาคม 2559

เส้นทางชีวิตของนักฟุตบอลโนเนมจากบ้านนาที่อาศัยความมุมานะฝ่าฟันอุปสรรคจนก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในขุนพลช้างศึก

โดย...ชมณัฐ

นักฟุตบอลโนเนมจากบ้านนาที่มีต้นทุนชีวิตต่ำกว่าคนอื่น อาศัยความมุมานะที่ไม่ย่อท้อ ฝ่าฟันอุปสรรคจนสร้างชื่อก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในขุนพลช้างศึก ประดับธงชาติไทยบนหน้าอกอย่างเต็มภาคภูมิ

เป็นธรรมดาของวิถีฟุตบอลที่หากใครโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นก็จะถูกเรียกติดทีมชาติ แต่สำหรับ สิโรจน์ ฉัตรทอง แล้ว ทุกอย่างเหมือนความฝัน เพราะนอกจากจะเป็นเพียงดาวรุ่งที่ค้าแข้งกับสโมสรในลีกรองของประเทศแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าตัวยังไม่เคยผ่านการรับใช้ชาติในทีมชุดใดๆ มาก่อนเลย แต่กลับมีชื่อติดทีมชาติไทย ในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแบกความคาดหวังของคนทั้งประเทศอย่าง ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย

“ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1 ก่อนหน้านี้ผมไม่กล้าที่จะคิดถึงเรื่องติดทีมชาติเลย เพราะผมเป็นเพียงเด็กบ้านนอกธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชอบเล่นฟุตบอล เริ่มเล่นฟุตบอลก็ช้ากว่าคนอื่นเขา ไม่เคยติดทีมอะคาเดมี หรือเยาวชนทีมชาติชุดไหนมาก่อนเลย ชีวิตผมหวังแค่เพียงตั้งใจซ้อมและตั้งใจเล่นกับสโมสรเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองได้ก็พอแล้ว” แข้งวัย 24 ปี เปิดใจ

อย่างไรก็ตาม การติดทีมชาติครั้งนี้ของสิโรจน์ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากความมุมานะที่มีมาโดยตลอด เพราะเส้นทางถนนลูกหนังไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ต่ำกว่าชาวบ้าน

“บ้านผมยากจนมาก พ่อผมเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก ส่วนแม่ติดหนี้นอกระบบจากการพนันจำนวนมาก และต้องเลี้ยงลูก 6 คน โดยมีผมเป็นคนสุดท้อง แถมผมยังเรียนหนังสือก็ไม่ดี จบเพียงชั้นมัธยม 6 ที่ กศน. แม้ผมจะชอบเล่นฟุตบอล แต่ก็ไม่ได้เล่นดีอะไรเลย เบสิก ก็ไม่มี เล่นตามประสาเด็กทั่วไปไม่มีใครสอน อดทนเก็บเงินวันละ 5-10 บาทอยู่หลายเดือน กว่าจะซื้อรองเท้าสตั๊ดคู่แรกได้ในราคา 600 บาท เพื่อนำไปคัดตัวกับสโมสรสุรินทร์ซิตี้ ด้วยความที่โค้ชอาจจะชอบสไตล์การเล่นของผมที่ขยันวิ่ง อาศัยความอึด จึงได้เข้ามาร่วมซ้อมกับทีมโดยไม่มีเงินเดือน” ดาวเตะจากสุรินทร์ย้อนความ

ทว่าอยู่ได้เพียง 2 เดือน สิโรจน์ก็ต้องออกจากทีม เพราะสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเฮดโค้ช แต่เจ้าตัวก็ไม่ย่อท้อ ยังคงมุ่งหน้าฝึกซ้อมและเล่นฟุตบอลเดินสาย จนได้ติดทีมจังหวัดและพาทีมคว้ารองแชมป์ฟุตบอลโค้ก คัพ ก่อนที่จะถูกสโมสรนนทบุรี เอฟซี ชักชวนให้ไปลองคัดตัว

“เมื่อรู้ว่าจะไปคัดตัว ผมก็ฟิตซ้อมร่างกายเต็มที่ เพราะรู้ดีว่าเรื่องทักษะคงสู้คนอื่นเขาไม่ได้ จึงเน้นที่พละกำลังและความแข็งแกร่งของร่างกาย ผมซ้อมหนัก มาก ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาวิ่งทุกเช้า จากนั้นเล่นเวตเทรนนิ่งต่ออีก 2-3 ชั่วโมง ทั้งยกเหล็ก และซิทอัพกล้ามท้อง ตกเย็นก็ไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ ทำแบบนี้ซ้ำไปมาเกือบ 2 เดือน จนร่างกายใหญ่ขึ้น เริ่มมีกล้าม ผมไม่เคยมีโค้ชสอนฟุตบอลจริงจังมาก่อน อาศัยดูคนอื่นเล่นและจำไว้ แล้วลงมือทำ ผมลงมือซ้อมด้วยตัวเองมาตลอดไม่ใช่แค่ดูอย่างเดียว”

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อม เด็กหนุ่มวัย 18 ปี ยอมเดิมพันด้วยชีวิต หวังตายเอาดาบหน้ารวบรวมความกล้าขอเงินจากแม่และพี่สาวรวม 2,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่เยอะที่สุดที่เคยได้จากครอบครัว เพื่อเป็นค่ารถทัวร์เดินทางมาคัดฝีเท้าที่กรุงเทพฯ จนได้เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักเตะของสโมสรเมื่อปี 2012 และเป็นก้าวแรกในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ แม้จะได้รับเพียงเบี้ยเลี้ยงซ้อมเดือนละ 300 บาท บวกกับโบนัสหากทีมชนะอีก 100 บาท รวมแล้วประมาณ 6,800 บาท/เดือน แต่เงินก้อนนี้ก็ทำให้เจ้าตัวภูมิใจอย่างมาก เพราะเป็นเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง

จากนั้นชะตาชีวิตก็พุ่งพรวด ฟอร์มการเล่นเตะตาสโมสรกรุงเทพคริสเตียน ถูกทาบทามไปร่วมทัพพร้อมขยับเงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3.8 หมื่นบาท ซึ่งระยะเวลา 3 ปี ในรั้วชงโค สิโรจน์ยังคงฉายแววต่อเนื่อง กระทั่งได้ย้ายมาอยู่กับสโมสรอุบล ยูเอ็มที ยูไนเต็ด ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 1

และนั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ!!

ถึงวันหนึ่งต้นสังกัดต้องเปิดบ้านรับมือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จ่าฝูงลีกสูงสุด ในฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ 2016 รอบ 16 ทีม แม้สุดท้าย “เทพอินทรี” จะเป็นฝ่ายแพ้ 1-2 แต่ฟอร์มการเล่นของศูนย์หน้าเจ้าของส่วนสูง 185 ซม. ได้รับเสียงชมล้นหลาม จากการใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายที่ฝึกปรือมาอย่างดีและความกระหายในการเล่น สร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับยอดทีมตลอดทั้งเกม จนเข้าตา “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เรียกติดทีมชาติอย่างไม่คาดฝัน

ปัจจุบัน สิโรจน์ ติดทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการแล้ว 3 นัด และได้ลงสนามในฐานะตัวสำรอง 2 นัด พบ ญี่ปุ่น และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งยังคงได้รับคำชมต่อเนื่อง และมีโอกาสสูงที่จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมกับ อิรัก วันที่ 11 ต.ค.นี้ ส่วนในสีเสื้อสโมสร ยิงไป 6 ประตู เป็นกำลังสำคัญช่วยทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ

เหนือสิ่งอื่นใดผลจากความมุมานะและขยันฝึกซ้อมที่มีมาตลอด ตอนนี้ “ปีโป้” สามารถปลดหนี้ให้กับครอบครัวได้หมดแล้ว และยังมีเงินเหลือส่งกลับไปช่วยที่บ้านอีกด้วย

“เส้นทางในการเป็นนักฟุตบอลของผมด้อยกว่าใครอีกหลายคน แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ เชื่อฟังโค้ชและขยันฝึกซ้อม เมื่อโอกาสมาถึงผมก็พร้อมที่จะคว้า เพราะผมเชื่อเสมอว่าต่อให้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแต่ถ้าไม่พร้อมคุณก็ไม่สามารถที่จะคว้าไว้ได้” สิโรจน์ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ