รู้อย่างไม่รู้ แต่รู้อย่างผู้รู้ กับ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

20 พฤศจิกายน 2559

หลายคนเข้าถึงการหมดซึ่งความทุกข์ว่า จะต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป อาทิ เหาะได้

โดย...ราช รามัญ

หลายคนเข้าถึงการหมดซึ่งความทุกข์ว่า จะต้องเป็นบุคคลที่มีความเป็นพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป อาทิ เหาะได้   ได้อภิญญามีฤทธิ์ทางใจรู้ใจผู้อื่น ย่อย่นระยะทางได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าผู้นั้นเข้าถึงซึ่งความบริสุทธิ์แห่งพรหมจรรย์เป็นพระอรหันต์อย่างที่เข้าใจเสมอไป 

พระอรหันต์บางรูปอาจจะไม่มีความโดดเด่นในเรื่องเหล่านี้เลยก็มี แต่เป็นผู้หมดแล้วซึ่งความทุกข์ทั้งปวง การหมดทุกข์หาใช่จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างเหนือคนธรรมดา กลับกันอาจจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและธรรมดามากถึงมากที่สุดก็เป็นได้

การปฏิบัติธรรมในแนวทางของหลวงพ่อเทียนนั้น เน้นเทคนิคการปฏิบัติแบบความเคลื่อนไหวที่มือ เคลื่อนไหวด้วยการเดินจงกรม ไม่เน้นการนิ่งๆ ในสมาธิ เพราะการเคลื่อนไหวนี้จะทำให้เรามีสมาธิที่ไม่จมกับอารมณ์ ไม่ดับดิ่งนิ่ง ไม่เหม่อลอยโดยไม่รู้ว่าเหม่อลอย

เก็บอารมณ์ จึงเป็นหลักสูตรหนึ่งของการปฏิบัติในแนวทางนี้ ผมปฏิบัติได้ระดับหนึ่งแต่ก็ยังบกพร่องอีกมากในช่วงแรก ได้รับแนะนำว่า ให้เก็บอารมณ์สัก 10 วัน แต่เมื่อทราบถึงข้อปฏิบัติแล้วอยากจะขอคืนคำสัญญากันเลยทีเดียว

เพราะการเก็บอารมณ์นี้จะต้องงดการสื่อสารทุกชนิด งดพูด งดสื่อสารภาษาเขียน และภาษากาย ห้ามอ่านหนังสือ ห้ามเขียนบันทึก อาหารการกินมีคนคอยดูแลเต็มที่ ฉัน (ทานข้าว) แล้วปฏิบัติอย่างเดียว เดินไปไหนมาไหนใครทักก็ห้ามคุยด้วย ที่คอจะแขวนป้ายเขียนไว้ว่า “เก็บอารมณ์” ถือได้ว่าเป็นอันเข้าใจซึ่งกันและกัน

1-3 วันแรก อึดอัด อยากจะถอนสัจจะ ไม่ไหว ฝืนธรรมชาติ ไม่ได้พูด ได้คุย แต่พอพ้นรอดไปได้ ใจเริ่มสบายเริ่มชิน เริ่มมีกำลังใจจากการปฏิบัติมากขึ้น เมื่อเริ่มเห็นความชัดเจนทางด้านภาวะอารมณ์ ที่คิดนั่น คิดนี่ เดี๋ยวอยากไปทางโน้น เดี๋ยวอยากไปทางนี้ เดี๋ยวอันนั้น อันนี้ สารพัดอย่าง

ตอนที่เห็นอารมณ์นี่นะ เท่ากับเห็นความคิดควบคู่กันไปด้วยเลย มันแจ่มชัด พอเห็นแล้วเข้าใจแล้ว นี่เองตัวที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ตัวที่ทำให้เราปรุงแต่ง มันเห็นชัดๆ แบบนี้เลยทีเดียว พอเห็นแล้วเรามีสติรู้ทันอารมณ์ที่ปรากฏ ความทุกข์มันก็คลายจางแบบนี้ ความทุกข์มันไม่ได้หายไปไหน แต่เราอาศัยอยู่กับความทุกข์ได้โดยที่มีสติและความรู้สึกตัวอย่างทันท่วงทีเท่านั้นเอง

การฝึกเคลื่อนไหวทางกายและการเดินจงกรม มีประสิทธิภาพกว่าการนั่งสมาธิตรงที่ทำให้เกิดสติและสัมปชัญญะ หรือความรู้สึกตัวได้อย่างต่อเนื่องและเป็นลูกโซ่ดีแท้ การเห็นแบบนี้ คือ การบรรลุธรรมหรือไม่ ...ไม่ได้สนใจชื่อหรือภาษาหรือความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นว่า บรรลุธรรมหรือไม่ สนใจเพียงอย่างเดียว คือ ทุกข์มันน้อยลง แม้จะไม่ได้ปฏิบัติธรรมเคลื่อนไหวต่อไปอีก ก็ยังพอเห็นอย่างเท่าทัน

จึงอาจกล่าวได้ว่า “รู้อย่างไม่รู้” คือ รู้แบบนี้ ส่วนคำว่าและที่กล่าวว่า “รู้อย่างผู้รู้” คือ ผู้รู้ รู้แล้วความทุกข์น้อยลงนั่นเอง

จึงได้มาเข้าใจในเรื่องของ อวิชชา คือ ความไม่รู้ตามความจริง เป็นรากฐานของการปรุงแต่งจริงๆ...

หลายคนที่สนใจแนวทางการปฏิบัติเคลื่อนไหวแบบของหลวงพ่อเทียน มักจะมาตั้งคำถามเสมอว่า จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้จริงๆ หรือ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้นะ ต้องขอเกริ่นกล่าวว่า สิ่งที่หลวงพ่อเทียนสอนนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ให้มีสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา เพียงแต่อาศัยเทคนิคในการปฏิบัติด้วยการเคลื่อนไหว

เพราะชีวิตของเราทั้งหลายอยู่กับความเคลื่อนไหว และ ถ้าเราเคลื่อนไหวอยู่เสมอพร้อมกับมีสติมีความรู้สึกตัวนั้นเท่ากับว่าเราได้ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเพราะการขับรถ ถูบ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน ทุกอย่างเราจะเห็นชัดด้วยตัวของเราเองเลย และก็เข้ากับหลักในการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า

สติปัฏฐานสี่ ผู้ที่มาใหม่ในสายทางธรรม มักมีคตินิยมว่า การนั่งนิ่งในสมาธินานๆ คือ ผู้เข้าฌานและบรรลุธรรม หรือการทำแบบนั้นอย่างนั้นต่างหากที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติแบบอื่นไม่อาจที่จะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรม

ขึ้นชื่อว่า การปฏิบัติธรรม คติของผมมองว่าทุกวัดทุกอาจารย์สอนไปในทางกุศลทั้งหมด เพียงแต่เทคนิคอาจจะแตกต่างกัน แต่ผลของการปฏิบัตินั่นต่างหากที่สำคัญ ถ้าผลของการปฏิบัติออกมาแล้ว ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งทุกข์ หรือไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้เลยนั้น มันก็จะทำให้การปฏิบัตินั้นสูญเปล่า การปฏิบัติแบบการเคลื่อนไหวจะทำให้เราเห็นความคิด เห็นจิตใจ เมื่อเห็นแล้วจะรู้ตามความเป็นจริงแบบที่เราจะไม่ทุกข์อีกต่อไป เพราะความคิดนี่เอง คือต้นเหตุสืบสายไปจนถึงการปรุงแต่งทางจิตวิญญาณต่อไป

อ่านต่อฉบับหน้า

Thailand Web Stat