ฟังเสียงคลื่น...ชมฟ้าคราม...น้ำทะเลสีน้ำเงิน ลัดเลาะริมฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน
ฟองคลื่นสีขาวนุ่มละมุนแข่งกันวิ่งเข้าเส้นชัยที่ชายฝั่งเป็นระลอกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีฉากหลังผืนใหญ่เป็นท้องฟ้าสีคราม
โดย...ทีมงาน โลก 360 องศา facebook : โลก 360 องศา youtube : โลก 360 องศา
ฟองคลื่นสีขาวนุ่มละมุนแข่งกันวิ่งเข้าเส้นชัยที่ชายฝั่งเป็นระลอกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีฉากหลังผืนใหญ่เป็นท้องฟ้าสีครามนัดพบกับท้องทะเลสีน้ำเงินเข้มที่เส้นขอบฟ้า เรือใบพลิ้วไหวหยอกล้อกับคลื่นอย่างสนุกสนานอยู่กลางทะเล โดยมีภาพสถาปัตยกรรมบ้านเรือนสีส้มอ่อน หรือสีน้ำเงินปนสีขาว ทอดยาวไปตามชายฝั่ง
ภาพที่มองแล้วสบายตา พาใจสบายในอารมณ์ ชวนให้อยากทิ้งโลกที่วุ่นวายไว้เบื้องหลังเหล่านี้ ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้อย่างลงตัวที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลที่อยู่ในอ้อมกอดของ 3 ทวีป ทิศเหนือเป็นทวีปยุโรป ทิศใต้คือทวีปแอฟริกา และทวีปเอเชียอยู่ทางตะวันออก มีชายฝั่งทอดยาวครอบคลุมพื้นที่ถึง 21 ประเทศ นอกจากความงดงามทางธรรมชาติของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว ในแต่ละประเทศที่รายล้อมยังมีสิ่งล้ำค่าให้น่าไปเยือนและค้นหาอีกมากมาย
ทีมงานโลก 360 องศาปักหมุดแรก ที่ “อิสตันบูล” (Istanbul) เมืองที่มีประชากรมากที่สุดของตุรกี เป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจ และเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์สำคัญในหลายยุคหลายสมัย ด้วยเหตุที่เป็นเมืองที่มีพื้นที่ตั้งอยู่บน 2 ทวีป ฝั่งหนึ่งอยู่ในทวีปยุโรป อีกฝั่งอยู่ในเอเชีย บนช่องแคบบอสฟอรัสที่เชื่อมทะเลดำกับทะเลมาร์มารา ทำให้อิสตันบูลมีความหลากหลาย กลายเป็นเสน่ห์ของความผสมผสานด้านวัฒนธรรมทั้งกรีก โรมัน และออตโตมัน และด้านศาสนาระหว่างคริสต์และอิสลาม แถมยังเป็นเมืองที่กลมกลืนไปด้วยความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์และความทันสมัยอีกต่างหาก ชวนให้หลงใหลจนไม่อยากจากลา
เอกลักษณ์ของเมือง “ซิดิ บู ซาอิด” คือ บ้านเรือนที่ทาด้วยสีฟ้าและขาว
ในประเทศตุรกี ยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งสวยงามและมีสีสันไม่แพ้กัน คือ ปามุคคาเล่ (Pamukkale) ซึ่งมาจากภาษาตุรกี ที่แปลว่า “Cotton Castle” แปลเป็นภาษาไทยแบบตรงๆ ก็คือ “ปราสาทปุยฝ้าย” สาเหตุที่ชื่อว่าปราสาทปุยฝ้ายก็เพราะมีหินปูนสีขาวที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติอายุกว่า 1,000 ปี รวมกันจนเป็นภูเขาใหญ่ มองไกลๆ คล้ายกับภูเขาหิมะ ยิ่งตัดกับท้องฟ้าสีเข้มด้วยแล้ว เป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย
ตุรกี ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ ดังนั้นจะได้พบเห็นเมืองโบราณ เห็นซากโบราณสถานอยู่บ่อยครั้ง และที่ปามุคคาเล่ ก็เช่นกัน มีเมืองโบราณที่ชื่อว่า “ฮีเอราโพลิส” (Hierapolis) บริเวณนี้มีแหล่งความร้อนใต้พิภพ ทำให้เกิดบ่อน้ำพุร้อนขึ้น ทอดตัวลดหลั่นเป็นชั้นๆ คล้ายการทำนาขั้นบันไดที่บ้านเรา แต่เป็นนาขั้นบันไดสีขาวที่แสนจะวิจิตรงดงาม บางครั้งก็มีไอน้ำและความร้อนปะทุขึ้นมาบนผิวโลก
คนสมัยโบราณคิดว่าไอน้ำและความร้อนที่ปะทุขึ้นมาเป็นการกระทำของเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาเทพเจ้าแห่งบาดาลและใช้บ่อน้ำพุเป็นที่บำบัดโรค ก่อนที่เมืองฮีเอราโพลิส จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับเมืองปามุคคาเล่ ในปี ค.ศ. 1988 จึงได้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวลงไปแช่น้ำ
“ปามุคคาเล่” หินปูนสีขาวที่เกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาติอายุกว่า 1,000 ปี
นอกจากนั้น ตุรกียังมี “แคปพาโดเชีย” ดินแดนที่มีประติมากรรมทางธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตั้งอยู่ในตุรกีตอนกลาง เป็นภูมิประเทศทางธรรมชาติ ที่เต็มไปด้วยแท่งหินทรงรูปกรวยคล้ายดอกเห็ดขนาดใหญ่ผุดขึ้นมา เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
เราข้ามไปฝั่งทวีปแอฟริกากันบ้าง ทีมงานได้มีโอกาสไปเยือนประเทศตูนิเซีย ประเทศมุสลิมเล็กๆ ที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ที่มีความหลากหลายไม่แพ้ตุรกีเช่นกัน เป็นทั้งที่ตั้งของโบราณสถานยุคโรมัน มีหมู่บ้านสวยๆ ริมทะเล โอเอซิสกลางทะเลทราย และพิพิธภัณฑ์ระดับโลกก็ตั้งอยู่ที่นี่
ใน “ตูนิส” ซึ่งเป็นเมืองหลวงของตูนิเซีย ค่าครองชีพจะไม่แพงมาก ผู้คนมีมิตรไมตรีอัธยาศัยดี และที่พลาดไม่ได้คือการไปเยือนหมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลที่ชื่อว่า “ซิดิ บู ซาอิด” ห่างจากตูนิสออกมาประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่น คือ บ้านเรือนจะทาสีฟ้าและสีขาวเป็นหลัก เหมือนจำลองเกาะซานโตรินี ในประเทศกรีซมา จะต่างกันที่ซิดิ บู ซาอิด เป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่พลุกพล่าน
“อิตเบนฮัดดู” เมืองโบราณที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987
และอีกหนึ่งประเทศที่สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ไปเยือนคือ โมร็อกโก นอกจากมีที่ตั้งทางตอนเหนือติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแล้ว ทางตะวันตกยังติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนทางตะวันออกติดกับทะเลทรายซาฮาราที่แสนกว้างใหญ่
โมร็อกโก ห่างจากประเทศสเปนตรงช่องแคบยิบรอลตาร์ (Straits of Gibraltar) เพียง 14 กิโลเมตรเท่านั้น จึงมีความใกล้ชิดกับยุโรปมากเป็นพิเศษ มีเมืองหลวงชื่อว่า ราบัต (Rabat) ไม่ใช่เมืองคาซาบลังกา (Casablanca) อย่างที่คุ้นเคยและคนส่วนหนึ่งเข้าใจผิดกัน ที่สำคัญคือ โมร็อกโก เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีความงาม มีสีสัน ที่เป็นเอกลักษณ์ทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปนิยมไปเที่ยวกัน
ส่วนผู้ที่ชื่นชอบตามรอยเส้นทางในภาพยนตร์เรื่องดัง เราขอแนะนำให้ไปเยือนเมืองอิตเบนฮัดดู (Ait Benhaddou) เมืองโบราณที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 ด้วยความโดดเด่นและเก่าแก่ของบ้านดิน ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโมร็อกโกตอนใต้ ตั้งอยู่ระหว่างทะเลทรายซาฮาราและเมืองมาร์ราเกช (Marrakesh) จึงถูกใช้เป็นฉากสำคัญของภาพยนตร์หลายเรื่อง เมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่อลังการของที่นี่สร้างขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ จากวัสดุดินผสมน้ำและฟางเรียงกันเป็นชั้นๆ ตั้งตระหง่านบนเชิงเขา ปัจจุบันยังมีบางกลุ่มคนที่ยังอาศัยอยู่ในสถานที่โบราณแห่งนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของสิ่งปลูกสร้างที่ทนทานมาหลายร้อยปี
“มาร์ราเกช” ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา
ออกจากเมืองอิตเบนฮัดดู มุ่งสู่เมืองมาร์ราเกช (Marrakesh) ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประตูสู่ทะเลทรายซาฮารา มาร์ราเกช เป็นอีกเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโมร็อกโก เป็นเมืองโอเอซิส ที่ในอดีตจะเป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่เดินทางมาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก ที่นี่จึงกลายเป็นศูนย์รวมของความหลากหลายทั้งผู้คนและวัฒนธรรม สองข้างทางในเมืองมาร์ราเกช จะเห็นบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้ม ซึ่งคนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือเมืองสีชมพู เป็นเมืองที่มีมนตร์เสน่ห์ตามสไตล์โมร็อกโก และที่เมืองแห่งนี้ยังเป็นจุดนัดพบของศิลปินจากทั่วโลกที่มาตั้งรกรากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ดินแดนแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยสีสันและมีงานศิลปะมากมายให้ได้ชมกันอย่างเต็มอิ่ม
คุณผู้อ่านสามารถติดตามชมเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ได้ในรายการ โลก 360 องศา วันเสาร์นี้ เวลา 21.20 น. ททบ. 5