J-Cruises 17
เที่ยงวันพักผ่อนบนเรือแบบนี้ บุฟเฟ่ต์บนชั้น 14 ดูจะเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด
เที่ยงวันพักผ่อนบนเรือแบบนี้ บุฟเฟ่ต์บนชั้น 14 ดูจะเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ความหลากหลายของอาหารก็ดูเหมือนจะมากกว่าตอนค่ำ ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่นิยมคอร์สเมนูกัน บุฟเฟ่ต์มื้อค่ำจึงเป็นเสมือนตัวเลือกรอง มื้อเที่ยงวันนี้มีขาหมูไว้เอาใจผู้โดยสารชาวไต้หวันเป็นพิเศษ มีบะหมี่น้ำด้วยแต่หน้าตาดูจืดไปนิด วนไปวนมาหลายรอบ สุดท้ายก็มาจบที่บะหมี่หน้าจืดนี่แหละ ใส่พริกเพิ่มรสชาติลงไปหน่อยพอกินได้อยู่ ช่วงบ่ายเดินไปสำรวจสระว่ายน้ำเสียหน่อย บนเรือมีอยู่หลายตำแหน่งด้วยกัน หลักๆ จะอยู่ชั้น 14 มีสระกลางแจ้ง Neptune และสระในร่ม Calypso บนชั้น 15 ก็มีที่หัวเรือใน Lotus Spa เป็นสระในร่ม และด้านท้ายเรือมีสระกลางแจ้งขนาดย่อมอีก 2 ตำแหน่ง ถ้าชอบความโรแมนติกแนะนำให้มาแช่สระท้ายเรือช่วงเย็นก่อนค่ำ ชมแสงอาทิตย์สีส้มตัดกับสีฟ้าหม่นของน้ำทะเล เป็นภาพมหัศจรรย์ที่หาดูไม่ได้จากบนผืนแผ่นดิน มุมหนึ่งของสระกลางแจ้ง Neptune มีร้านอาหารเล็กๆ ชื่อ Trident Grill ใครไม่อยากกินในห้องอาหารปกติจะมาเปลี่ยนบรรยากาศที่นี่ก็ได้ เขามีเมนูล็อบสเตอร์ให้สั่งได้ 3 รายการ และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มที่ละ 18-22 ดอลลาร์สหรัฐ เห็นมีคนสั่งกินอยู่เหมือนกัน
ในส่วนอื่นๆ บนเรือก็มีกิจกรรมมากมาย อาทิ สอนเต้น เล่นเกม ขายของ แต่ตัวหนึ่งที่ผมแปลกใจมากคือ มีการสัมมนาเกี่ยวกับศิลปะและสุขภาพด้วย ตอนแรกตั้งใจจะหยิบหนังสือไปอ่านที่ห้องสมุด พอเดินเข้าไปเจอคนเพียบเลยแปลกใจ ที่แท้ทางเรือเปิดรับจองทริปเรือสำราญพร้อมส่วนลด ผู้โดยสารที่สนใจสามารถจองโดยชำระค่ามัดจำเพียง 100 ดอลลาร์ ที่สำคัญคือ 100 ดอลลาร์นี้ สามารถขอคืนได้ในกรณีเปลี่ยนใจ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ดีมาก ผู้โดยสารชาวไต้หวันมาจองกันเยอะเลย เดินไปเดินมาแป๊บเดียวจะเย็นอีกแล้ว ต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัว เพราะคืนนี้มีกิจกรรมสำคัญของเรือ คือ Captain's Champagne Waterfall Party อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของการล่องเรือสำราญ โดยส่วนใหญ่บรรดาผู้โดยสารจะแต่งตัวกันเต็มยศผิดหูผิดตาไปจากวันสองวันแรกที่ดูสบายๆ ต้องยอมรับว่าคนไต้หวันเขาเตรียมตัวมาดีจริงๆ 5 โมง กว่าๆ เจ้าหน้าที่เริ่มนำแก้วแชมเปญมาเรียงทีละชั้นๆ (แอบลุ้นให้โค่นอยู่เหมือนกัน 5555) ใกล้จะทุ่มผู้โดยสารส่วนใหญ่มาชุมนุมกันที่ Atrium และพอได้เวลา Maitre d'Hotel คุณ Francois Ferat ก็เริ่มเชิญผู้โดยสารที่ได้รับการทาบทามแล้วออกมารินแชมเปญ จากนั้นก็เป็นการแนะนำเจ้าหน้าที่ระดับสูงบนเรือโดย Cruise Director หลักๆ ก็มี Hotel General Manager ผู้ดูแลในส่วนของห้องพัก Maitre d'Hotel ผู้ดูแลห้องอาหาร Executive Chef พ่อครัวใหญ่ผู้ออกแบบเมนูและควบคุมการปรุงอาหาร Chief Engineer ผู้ดูแลระบบควบคุมการเดินเรือทั้งหมด และแน่นอนว่าต้องปิดท้ายโดยกัปตันเรือ เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการในราวๆ ทุ่มสี่สิบห้า
สองทุ่มตรงเป็นเวลานัดหมายสำหรับมื้อพิเศษในค่ำคืนนี้ พื้นที่ส่วนหลังของห้องอาหาร Horizon บนชั้น 14 ถูกปรับให้เป็น Sterling Steakhouse ห้องอาหารที่เน้นหนักไปทางสเต็กเนื้อ บรรดาคนรักเนื้อต้องไม่พลาด ย้ำว่าต้องไม่พลาด สำหรับผมขอยกห้องนี้ให้เป็นมื้อที่ดีที่สุดของทริปเลย เริ่มตั้งแต่การปรับห้องบุฟเฟ่ต์ให้เป็นห้องอาหารที่แอบหรูดูดีด้วยม่านบางๆ แค่ไม่กี่ผืนแล้วหรี่ไฟลงเล็กน้อย พร้อมทั้ง Restaurant Manager ที่หล่อมาก หน้าตาบุคลิกเหมือน แอนโตนิโอ แบนเดอรัส ยังกับฝาแฝด ได้ใจสาวๆ ร่วมทริปไปตั้งแต่หน้าร้าน เมนูมีไม่มาก แบ่งเป็น Appetizers 3 อย่าง ซุปและสลัด 3 อย่าง เนื้อ 7 อย่าง และเมนูสำหรับคนไม่กินเนื้ออีก 2 อย่าง ไม่รวมของหวาน อาหารเรียก น้ำย่อยจานแรกคือ Black Tiger Prawn and Papaya Salpicon กุ้งกุลาดำตัวใหญ่เนื้อกรอบเด้งกับสลัดมะละกอเข้ากั๊นเข้ากัน จานที่สองเป็น Mediterranean-Style Spiny Lobster Cake, Tarragon Foam เหมือนทอดมันกุ้ง ลูกกลมใหญ่เท่าซาลาเปา เนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำด้วยรสกุ้งผสมสมุนไพร แค่ 2 จานแรก ก็เริ่มหนักๆ ท้องแล้ว ยังมีซุปอีกถ้วยก่อนจานหลักจะมา คุณแอนโตนิโอ (ผมแอบเรียกเอง) เดินมาให้เลือกเครื่องเคียงกินกับสเต็ก ถามไปถามมาแกเลยบอกว่าไอจัดมาให้ยูหมดทุกอย่างเลยละกัน ฮั่นแน่! หล่อแล้วยังใจดีอีก เครื่องเคียง 5 อย่าง ประกอบด้วย เฟรนช์ฟรายส์ มันบด ผักโขมผัดกับครีม เห็ดผัด และแอสพารากัสย่าง ถ้ากินหมดทั้ง 5 อย่างนี่ไปเล่นเกมแข่งกินจุได้เลย และแล้วเมนูหลักที่สั่งไปก็ทยอยมา ในเมนูมีเนื้อให้เลือก 7 อย่าง คือ New York Strip 340 กรัม Kansas City Strip เนื้อติดกระดูก 450 กรัม Rib-Eye 400 กรัม Fillet Mignon มี 2 ขนาด คือ 220 และ 280 กรัม Porterhouse ขนาดบิ๊กเบิ้ม 620 กรัม น้ำหนักพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Cote de Boeuf ที่กินได้ 2 คน และสุดท้ายคือ Surf & Turf เนื้อ 170 กรัม กับล็อบสเตอร์ท่อนหางเหมาะสำหรับคนรับประทานไม่จุ
ของผมไม่ต้องคิดมาก เห็นปุ๊บสั่งเลย New York Strip เนื้อสันติดมันที่นุ่มกำลังดี ย่างสุกปานกลางชุ่มฉ่ำเป็นที่สุด และด้วยขนาด 350 กรัม หลังจากซัดอาหารเรียก น้ำย่อยไป บอกเลยว่าถ้าไม่รักกันจริงนี่กินไม่หมดแน่ ต้องค่อยๆ บรรจงหั่นบรรจงกิน กินไปคุยไปกับพี่เกลอไกด์คนเก่ง ผู้ซึ่งอาจหาญสั่ง Porterhouse ชิ้นมหึมา แต่ก็คุ้มเพราะได้ลิ้มรสทั้ง Tenderloin และ Striploin ในชิ้นเดียว ยิ่งเป็นร้านนี้ก็ยิ่งคุ้ม เพราะจ่ายเพิ่ม 29 ดอลลาร์ ราคาเดียวแต่สามารถเลือกสั่ง สเต๊กแบบไหนก็ได้ พี่เกลอบอกมาทุกครั้งสั่งทุกครา ผมขอเฉือนฟากสันในมาชิมชิ้นหนึ่ง โอ้ว!นุ่มเหลือคณา ใครกระเพาะใหญ่ขอแนะนำชิ้นนี้เลย น้องที่มาด้วยกันสั่ง Rip-Eye แบบสุกมากิน โดนพวกแซวกันว่าเสียของ เนื้อดีๆ แถมไม่ค่อยมีมันปรุงสุกเกินไปมันเลยไม่ค่อยนุ่ม อีกจานเป็น Fillet Mignon สันในนุ่มๆ ขนาด 280 กรัม ย่างสุกปานกลาง แอบขอน้องชิมชิ้นหนึ่ง อื้ม! อร่อยไม่แพ้นิวยอร์กของผม พวกเราส่วนใหญ่เอนจอยกับสเต๊กมากถึงมากที่สุด สงสารก็แต่น้องที่ไม่กินเนื้อ สั่งเมนูกุ้งมาปรากฏว่าหน้าตามันคือข้าวผัดกุ้งชัดๆ ใครไม่กินเนื้อห้ามมากินที่ร้านนี้เด็ดขาด เพราะจ่ายเพิ่ม 29 ดอลลาร์ ก็ราวๆ 1,000 บาท ได้ข้าวผัดกุ้งจานเดียวต้องมีเคืองแน่ๆ
เป็นเพราะเนื้อที่ทั้งใหญ่และอร่อยเลยทำให้เครื่องเคียงทั้ง 5 แทบจะเป็นม่าย กระเดือกเนื้อชิ้นสุดท้ายลงไปด้วยความเสียดาย พร้อมกับคิดหนักว่าจะกินขนมต่อดีมั้ย ในเวลาแบบนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าเครมบูเล่ของหวานขึ้นชื่อที่อิ่มแค่ไหนก็พอยังยัดลงไปได้ เป็นอันปิดคอร์สสเต๊กเนื้อที่อร่อยและมีความสุขที่สุดในทริปนี้ของผมอย่างสวยงามประทับใจ n