ชนกันต์ รัตนอุดม ดนตรีคือสิ่งที่รัก
อะตอม-ชนกันต์ รัตนอุดม นักร้องหนุ่มมากความสามารถและนักแต่งเพลงวัย 26 ปี อนาคตไกล
อะตอม-ชนกันต์ รัตนอุดม นักร้องหนุ่มมากความสามารถและนักแต่งเพลงวัย 26 ปี อนาคตไกล ทำให้นักฟังเพลงรุ่นใหม่ได้อินกับซิงเกิ้ลเพลงรักเพราะๆ แนวใหม่ที่ได้ปล่อยไปก่อนหน้านี้หลายเพลง ซึ่งแฟนๆ รู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Please” “แผลเป็น” “ทางของฝุ่น” และ “อ้าว” ล่าสุดอะตอมได้ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ที่ชื่อว่า “อย่าบอก” เพลงรักสไตล์อกหักที่เริ่มติดหูคนฟังอยู่ในขณะนี้
“ผมเพิ่งปล่อยซิงเกิ้ลที่ชื่อ ‘อย่าบอก’ ออกมา ซึ่งเป็นเพลงหนึ่งในอัลบั้มใหม่ของผมที่ชื่อว่า ‘Cyantist’ เป็นการผสมระหว่างคำว่า Scientist ที่แปลว่า นักวิทยาศาสตร์ และคำว่า Cyan ที่หมายถึง สีฟ้า เข้าด้วยกัน โดยตั้งจากเรื่องราวของเพลงต่างๆ ในอัลบั้มนี้ ซึ่งมาจากความสัมพันธ์จริงๆ ในชีวิตของเราเอง
ในแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นการทดลองทางอารมณ์แบบหนึ่ง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาสำหรับคนเขียนเพลงอย่างผม ก็ออกมาในแนวทางที่เศร้าๆ อยู่ในอารมณ์ที่พูดถึงความผิดหวัง ผมก็เลยชอบคำว่า Cyan หรือสีฟ้า เพราะเป็นโทนสีแห่งความหมองหม่น ความเศร้า นี่จึงเป็นที่มาของชื่ออัลบั้มนี้ ซึ่งจะปล่อยออกมาวันที่ 7 ธ.ค.นี้ นอกจากเพลง ‘อย่าบอก’ แล้ว ยังมีอีก 4 เพลงใหม่ในอัลบั้มนี้ที่ผมได้เรียบเรียง โปรดิวซ์ และปรับแต่งเองทั้งหมด โดยมี 2 โปรดิวเซอร์คือ พี่บอลกับพี่กวินคอยให้คำแนะนำด้วย
ถ้าแฟนๆ ได้ฟังเพลง ‘อย่าบอก’ หลายคนอาจจะนึกย้อนไปถึงซิงเกิ้ลแรกของผม นั่นคือ เพลง ‘Please’ ซึ่งเป็นเพลงรักสไตล์อะคูสติกที่คนฟังอาจจะคุ้นหูกัน แต่เพลง ‘อย่าบอก’ จะมีส่วนผสมระหว่างบลูส์และโฟล์กในเพลงเดียวกัน เนื้อหาของเพลงค่อนข้างจะเรียบง่าย ตรงไปตรงมา สื่อว่าบางครั้งคนที่เจ็บปวดจากความรักที่สุดก็อาจจะไม่พูดอะไรเลยก็ได้ คิดว่าน่าจะกระแทกใจคนฟังได้ดี เพราะจากฟีดแบ็กที่ปล่อยไปวันแรก ก็ได้เห็นคอมเมนต์ชมอยู่บ้าง คือเราปล่อยมิวสิควิดีโอ (MV) ในยูทูบ และปล่อยให้ดาวน์โหลดเพลงนี้ในไอทูน (iTune) และแอพพลิเคชั่นต่างๆ แล้วด้วยครับ”
อะตอมบอกว่า เพลงของเขาที่ปล่อยออกมาแต่ละเพลง จะเป็นเพลงรักแนวอกหักที่ไม่ค่อยจะสมหวังซักเท่าไหร่ จึงอาจจะโดนใจคนฟังทุกๆ วัยที่มีความรักในหัวใจ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งอาจจะถูกใจมากเป็นพิเศษ
“ผมก้าวเข้ามาในวงการเพลงได้ 2 ปีกว่าๆ หลังจากที่ปล่อยซิงเกิ้ลแรก โดยเข้ามาอยู่ในสังกัดไวท์ มิวสิค ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ต้องบอกว่าการได้เข้ามาทำงานในแวดวงดนตรี ผมรู้สึกมีความสุขนะ เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ทั้งการแต่งเพลง ร้องเพลง การได้ออกไปเล่นดนตรี ไปเจอคนฟัง แล้วก็ได้มีโอกาสหรือมีส่วนร่วมในการทำเพลงมากขึ้น จากตอนแรกๆ ที่ผมจะเขียนแค่เนื้อร้องและทำนองแค่นี้ ตอนนี้ก็มีโอกาสได้เรียบเรียงเสียงประสาน (อะเรนจ์) เพลงของตัวเองมากขึ้น ซึ่งทำให้ผมได้นำเสนอไอเดียในเรื่องเพลงได้อย่างเต็มที่ โดยมีพี่ๆ โปรดิวเซอร์คอยช่วยเหลือแนะนำด้วย
แม้ผมจะเรียนจบทางด้านนิติศาสตร์ ซึ่งดูแล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับวงการเพลงเลยละ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่ผมชอบดนตรี ทั้งเล่นดนตรี ทั้งร้องเพลงมานาน เมื่อมีโอกาสได้เลือกสายอาชีพที่ชอบจริงๆ ในความรู้สึกผมอาชีพทางดนตรีก็ชนะขาดลอยอยู่แล้ว ณ ตอนนี้ (ยิ้ม) เพลงของผมส่วนใหญ่ทุกเพลงจะเป็นแนวป๊อป แต่ถึงเราจะบอกว่าตัวเองเป็นศิลปินแนวไหน สุดท้ายแล้วผมก็ขอแค่เป็นคนร้องเพลง คนเขียนเพลง และคนทำดนตรี ที่สอด แทรกแนวดนตรีที่ตัวเองชอบลงไปในชิ้นงานก็พอ ซึ่งเพลงล่าสุด ‘อย่าบอก’ ก็เป็นดนตรีประเภทบลูส์แอนด์โซล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่เราใช้ หรือวิธีที่เราเรียบเรียงดนตรีก็จะมีการผสมผสานแนวดนตรีอื่นนิดๆ หน่อยๆ ลงไปด้วย”
อะตอมบอกว่า ถ้านับจากจุดเริ่มต้นในการเป็นนักร้องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เขายังถือว่าตัวเองเป็นน้องใหม่ที่มีประสบการณ์ในเรื่องดนตรีน้อยกว่าศิลปินคนอื่นๆ แม้จะปล่อยซิงเกิ้ลไปแล้ว 4-5 เพลง แต่เขาก็คิดว่ายังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนถนนสายดนตรีไปอีกหลายปีถึงจะเก่งได้
“สิ่งที่ได้จากการเข้ามาอยู่ในวงการเพลงหรือเป็นนักร้องนักดนตรี นอกจากจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้ว ผมยังรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ ผมว่าแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว ที่สำคัญดนตรียังทำให้ผมมีคนรู้จัก มีเพื่อนใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในวงการเพลง เพราะมันเป็นความฝันที่เรารู้สึกว่ามันอยู่ไกลตัวเกินไป แต่เมื่อมีโอกาสดีๆ เข้ามาก็ต้องคว้าไว้ เพราะมันทำให้ความฝันของผมชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการที่ผมได้รับความรักจากคนฟังที่เข้ามาหาผมด้วยความหวังดี ความชื่นชม มันเป็นสิ่งที่เกินกว่าที่ผมคิดไว้มาก ผมจึงรู้สึกขอบคุณ
คนฟังทุกคนมากๆ เลยครับ ทุกวันนี้ผมเป็นนักร้องนักแต่งเพลง แต่ในอนาคตถ้าถามว่า ผมอยากก้าวไปเป็นโปรดิวเซอร์มั้ย อันนี้ผมยังตอบไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะในเมืองไทยรายได้ของโปรดิวเซอร์ไม่ได้เยอะเหมือนกับต่างประเทศ เพราะธุรกิจดนตรีของเขาจะ Mass กว่าบ้านเราเยอะ เป็นธุรกิจดนตรีที่มันอยู่ได้จริงๆ แต่ในบ้านเรา โปรดิวเซอร์ส่วนใหญ่จะทำด้วยความรัก ความชอบ ซะมากกว่าได้ค่าตอบแทนพออยู่ได้ก็โอเคแล้ว”
อะตอมเสริมว่า ทุกวันนี้เส้นทางด้านการร้องเพลงและการเขียนเพลง สำหรับตัวเขายังมองว่าสดใสและยังไปได้อยู่ ในอนาคตถ้าหากต้องเบนไปอยู่เบื้องหลังก็ค่อยว่ากันอีกที เพราะการเป็นนักร้องก็มีช่วงเวลาของมันเช่นกัน
“สำหรับความรู้ด้านกฎหมายที่ผมเรียนมา หากปล่อยทิ้งร้างไปนาน ผมคิดว่ามันน่าจะกลับไปเริ่มต้นอาชีพนี้ได้ยากละ เพราะมันไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้ลองทำ สุดท้ายก็จะลืมเลือนไป เอาเป็นว่าตอนนี้ผมขอทำงานดนตรีที่ผมรักให้ดีที่สุดก่อนละกัน ในอนาคตถ้ามีโอกาสทำงานด้านอื่นๆ อีกค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้พลังงานส่วนใหญ่ของผมจะโฟกัสไปที่อัลบั้มเพลงที่จะปล่อยออกมาซะมากกว่า แล้วผมอาจจะได้กลับมาทัวร์คอนเสิร์ตในเร็วๆ นี้ด้วยนะ
งานเพลงมันไม่เหมือนอาชีพอื่นๆ ตรงที่มันต้องมีการเดินสายเพื่อโปรโมท ในช่วงที่ออกซิงเกิ้ลแรกๆ ผมต้องเดินสายไปออกรายการวิทยุที่ต่างจังหวัดทุกสัปดาห์ เดินสายไปออกทีวีตามช่องต่างๆ ซึ่งช่วงแรกๆ ที่เรายังไม่เป็นที่รู้จักของคนฟัง ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นนะ คือมันลุ้นว่าคนจะรู้จักเพลงของเรามั้ย คนจะชอบเพลงของเรามั้ย เราเลยอยากทำความรู้จักกับคนฟังผ่านเพลงของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งก็ผ่านมาได้ด้วยดี ผมก็ขอขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาส ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีในชีวิตตอนเริ่มต้นเป็นนักร้องเลยละ”
อะตอมทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันเขายังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพนักร้องมากนัก ถ้าให้เปรียบไปก็เหมือนกับว่าเพิ่งแค่ผ่านจุดเช็กพอยต์มาเท่านั้น แต่ก็ยังมีทางเดินอีกยาวไกลให้ก้าวเดินต่อไป
“สำหรับผมคิดว่ามันเป็นการเริ่มต้นอาชีพนักร้องนักแต่งเพลงที่สวยงามนะ เพราะเราเริ่มมีฐานแฟนคลับหรือคนฟังที่เป็นวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานเยอะพอสมควร เรียกว่าเป็นช่วงวัยที่ต่อกันติดได้ง่าย สำหรับแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงหรือแต่งเพลง ผมขอให้เครดิตคุณแม่กับคุณยายซึ่งเป็นครูสอนภาษาไทย ซึ่งท่านเข้มงวดในเรื่องการใช้ภาษาไทยกับผมมาโดยตลอด ทำให้ผมซึมซับและชอบในเรื่องภาษาไทย และทำให้ผมมีความละเอียดอ่อนในเรื่องของการใช้คำมากขึ้น ยิ่งไปเจอการเขียนกลอนตอนเรียน ทุกอย่างมันจึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เลยทำให้ผมฝึกฝนการเขียนเนื้อเพลง พร้อมกับการฟังเพลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนเขียนเพลงได้
เชื่อมั้ยผมฟังเพลงในยุคเอทตีส์ (‘80s) และไนน์ตีส์ (‘90s) ผ่านมาทางคุณพ่อคุณแม่ เพราะตอนพวกท่านขับรถไปไหนก็จะเปิดเพลงเหล่านี้กรอกหูผมมาตลอด หรืออย่างในวิทยุหลายคลื่นก็เปิดเพลงแนวนี้อยู่เสมอ เพลงบางเพลงที่ดีๆ ก็ยังถูกเล่นซ้ำจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมสามารถซึมซับกับเพลงทุกแนวทุกสไตล์ จนนำมาสู่การทำงานเพลงที่ผมรักอย่างในปัจจุบัน
ข้อดีอีกอย่างในการที่ผมเข้ามาในวงการเพลงก็คือ ทำให้ผมรู้จักการวางตัวมากขึ้น จากแต่ก่อนผมเป็นคนที่ติสต์มาก ไม่ค่อยเข้าหาใคร แต่ตอนนี้แม้จะร้องเพลงหรือเล่นคอนเสิร์ตเหนื่อยแค่ไหน พอมีแฟนเพลงเข้ามาหาเราด้วยความรักความหวังดี ก็ทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธพวกเขาได้ การเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงจึงลดน้อยลงไป ผมกลายเป็นคนที่ยิ้มเก่งขึ้น พูดง่ายๆ ว่ามีการปรับตัวทุกๆ ด้านไปในทางที่ดีขึ้น ผมว่าสิ่งเหล่านี้แหละที่ช่วยทำให้เรากลายเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น”…ติดตามได้ที่ IG : atomoatom และ FB : whitemusicrecord