posttoday

ฝึกภาษา ทำความดี ในวิถีพอเพียง

06 ธันวาคม 2560

ในยุคที่คนในสังคมมุ่งแต่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด หากมีบุคคลหรือองค์กรใดลุกขึ้นมาทำประโยชน์เพื่อคนในสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ก็นับว่าควรค่าแก่การยกย่องและให้การสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง


ในยุคที่คนในสังคมมุ่งแต่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด หากมีบุคคลหรือองค์กรใดลุกขึ้นมาทำประโยชน์เพื่อคนในสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ก็นับว่าควรค่าแก่การยกย่องและให้การสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

เหมือนอย่าง “หมู่บ้านนานาชาติ เปรมปรีดี” อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้ฝึกภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกับเจ้าของภาษา ราวกับอยู่ในต่างประเทศเลยล่ะ เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร ไปฟังจาก ขวัญชัย ปรีดี วัย 33 ปี ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านฝึกภาษาแห่งนี้กัน

“ผมเกิดที่ จ.กาฬสินธุ์ ตั้งแต่เด็กผมก็รู้ตัวว่าเรียนไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ พอเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขากราฟฟิกดีไซน์ ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผมก็ยังได้คะแนนโดยรวมไม่ดี ช่วงนั้นกลัวจะโดนรีไทร์มาก ผมจึงตั้งปณิธานว่า ถ้าจบปริญญาตรีจะต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ โชคดีว่าตอนเรียนอยู่ปี 3 ผมมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่สหรัฐในโครงการแลกเปลี่ยน ตอนอยู่ที่นั่นผมก็ไปหางานเกี่ยวกับการออกแบบอยู่ 1 สัปดาห์ จึงได้ไปฝึกงานในบริษัททำนิตยสารเล่มหนึ่ง

พอกลับมาเรียนใกล้จะจบปี 4 ผมก็ได้งานที่นิวยอร์ก สหรัฐ โดยไปสอนด้านกราฟฟิกดีไซน์ให้กับลูกคนรวยๆ ที่เสียเงินมาเข้าค่ายในช่วงปิดเทอมกัน เมื่อจบงานนี้พอกลับมาไทยผมก็ได้งานในบริษัทเว็บไซต์ของแอลเอ แต่เราสามารถทำงานในเมืองไทยได้ ก็ทำอยู่ 3 ปี จึงย้ายไปอยู่ลอนดอน อังกฤษ แล้วคิดว่าจะอยู่ที่นี่แหละ คงไม่ได้กลับไปทำงานที่เมืองไทยแล้วล่ะ ระหว่างเรียนภาษาเพื่อรอต่อปริญญาโท ผมก็เป็นช่างภาพแฟชั่นอิสระไปด้วย เรียกว่ากำลังเพลิดเพลินกับการหาความสำเร็จให้ชีวิตเลยล่ะ

ทว่า มีจุดเปลี่ยนในปี 2012 เมื่อผมมีโอกาสได้ไปวัดไทยในลอนดอน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ มาทรงเปิดงาน แล้วที่นี่ยังเปิดให้ทั้งฝรั่งและคนไทยได้มาปฏิบัติธรรมด้วย เมื่อปฏิบัติธรรมไปสักพักก็ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนจากคนที่ใฝ่หาความสำเร็จ มาเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าของชีวิต ณ ปัจจุบัน และรู้จักปล่อยวางมากขึ้น ผมจึงเป็นอาสาสมัครช่วยที่วัดอยู่นาน ถึงจะเหนื่อยแต่ทำแล้วมีความสุข แล้วยังเริ่มมีเพื่อนๆ ทั้งฝรั่งและไทยที่มาทำกลุ่มจิตอาสาร่วมกันด้วย

กระทั่งปี 2014 ผมก็มานั่งคิดว่า ทำไมเราไม่กลับไปทำจิตอาสาช่วยพัฒนาบ้านเกิดที่ จ.กาฬสินธุ์ ให้คนในสังคมได้ประโยชน์ล่ะ เพราะที่ลอนดอนคนส่วนใหญ่มีพร้อมทุกอย่างแล้ว ไม่ได้ขาดเหมือนเมืองไทยเรา”

ฝึกภาษา ทำความดี ในวิถีพอเพียง

 

เมื่อคิดได้แบบนั้น ขวัญชัยจึงยึดถือธรรมะและคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องความพอเพียง แล้วตัดสินใจบอกกับเพื่อนๆ ที่ลอนดอนว่า จะกลับมาพัฒนาสังคมที่บ้านเกิดด้วยการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ หรือคนที่นี่ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด เขาจึงจัดงานแฟร์อาหารขึ้นที่ลอนดอนเพื่อรวบรวมเงินบริจาคจากเหล่ากัลยาณมิตรทั้งไทยและเทศ จนได้เป็นเงินก้อนแรกเพื่อก่อตั้งโครงการหมู่บ้านนานาชาติฯ พร้อมทั้งขอที่ดินของพ่อแม่เพื่อก่อสร้างโครงการด้วย

“จากประสบการณ์ ผมเห็นว่าเด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษกันเยอะมาก แต่สื่อสารไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเรียนแพงแค่ไหน หรือครูเก่งแค่ไหนก็ตาม พอหยุดเรียนและไม่มีโอกาสได้ใช้ก็ลืมหมด อีกอย่างการเรียนแกรมม่าโดยที่ยังสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ กลับสร้างความสับสน พูดไม่ออก และกังวลว่าจะพูดผิดให้กับเด็ก ในขณะที่ฝรั่งพูดได้ถูกต้องโดยที่ไม่ต้องรู้หรือจำแกรมม่าให้วุ่นวาย เพราะพูดจากสิ่งที่พวกเขาได้ยินทุกวัน

สรุปแล้วการเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด คือต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมภาษาอังกฤษ หรือใช้ได้จริงอย่างต่อเนื่องจนมั่นใจ จากนั้นค่อยไปพัฒนาด้านการอ่านเขียน เหมือนที่เราทุกคนพูดภาษาไทยได้ตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน นี่จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งหมู่บ้านนานาชาติเปรมปรีดีที่บ้านเกิดของผม โดยสร้างให้เป็นศูนย์รวมของอาสาสมัครนานาชาติ เครือข่ายนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเครือข่ายปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งเปิดรับสมัครเด็กไทยมาร่วมเข้าค่าย ทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อวัดและชุมชน ลดการใช้ขยะ รีไซเคิลอย่างสร้างสรรค์ ปลูกป่า ปลูกพืชผักสวนครัว ทำอาหารและขนมจากพืชที่ปลูกเอง จัดสวน และกิจกรรมเพื่อสังคมอื่นๆ โดยทุกกิจกรรมจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง โดยเราเปิดค่ายครั้งแรกเมื่อเดือน ต.ค. 2560 และรับสมาชิกได้ 10 กว่าคน ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองของเด็กๆ เป็นอย่างดี”

ขวัญชัย ทิ้งท้ายว่า โครงการนี้ไม่เพียงแต่ฝึกให้เยาวชนได้ใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ยังทำให้สมาชิกทุกวัยที่อยากจะฝึกพัฒนาภาษาได้เรียนรู้ที่จะรักษ์และหวงแหนธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสียสละเพื่อชุมชน โดยลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีใครสอน แต่ให้ประสบการณ์ที่ทำนั้นเป็นครูให้

“ปัจจุบันนี้เยาวชนยุคใหม่และตัวเราเองมักใช้ชีวิตหน้าจอโทรศัพท์มือถือวันละหลายชั่วโมงทุกวัน แต่โครงการนี้จะทำให้สมาชิกทุกคนได้ใช้ชีวิตกับธรรมชาติมากขึ้น เพียงแค่สมาชิกที่เข้าค่ายมาร่วมทำความดีและร่วมสนุกกับหมู่บ้านนานาชาติฯ ทุกคนก็จะกลายเป็นผู้ที่รักษ์สิ่งแวดล้อมและพูดภาษาอังกฤษได้เองไปโดยปริยาย”…ดูข้อมูลช่วงเวลาเข้าค่ายได้ที่ FB/IG : prampredee และ www.prampredee.org

 

ฝึกภาษา ทำความดี ในวิถีพอเพียง

 

ด้าน แอน-ปุณยนุช มณีพงษ์ วัย 19 ปี นิสิตชั้นปี 1 สาขาเทคโนโลยีอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอีกหนึ่งคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสได้ไปเข้าค่ายนี้

“หนูไปเข้าค่ายช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ตอนเรียนจบ ม.6 และกำลังรอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะมีรุ่นพี่คนหนึ่งชักชวนไป ด้วยความที่ค่ายนี้อยู่ที่ จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดหนูอยู่แล้ว ก็เลยลองไปดู วันแรกที่อยู่ในค่ายก็มีการแนะนำตัวทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ เรียกว่าต้องมีการปรับตัวเล็กน้อย ซึ่งเราก็พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างอยู่แล้ว

กิจกรรมที่ประทับใจก็คือ การทำอิฐจากดินและมูลสัตว์เพื่อนำไปสร้างเป็นบ้านดิน ซึ่งกิจกรรมนี้พี่ขวัญชัยจะให้คำศัพท์ทั้งหมดเกี่ยวกับวัสดุหรือส่วนผสม แล้วให้พวกเราสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งหนูว่าเป็นเรื่องที่สนุกดี ตอนเข้าค่ายสมาชิกจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยเปลี่ยนเวรกันทำอาหาร เลยทำให้เราได้ฝึกฝนการใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษในครัว ซึ่งหนูว่าวิธีฝึกแบบนี้ทำให้เราจำได้ดีกว่าการท่องจำ เพราะเราได้ใช้คำศัพท์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน”

แอน เสริมว่า กิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจก็คือ การสอนให้ปลูกผัก เช่น ผักบุ้ง กวางตุ้ง ฯลฯ แล้วใช้ปุ๋ยคอกโรยที่แปลงผัก โดยทั้งสองกลุ่มจะแบ่งงานกันทำ เรียกว่าเป็นสิ่งที่บางคนอาจจะไม่เคยทำแบบนี้เลยเมื่ออยู่บ้านตัวเอง แล้วสมาชิกทุกคนจะมีที่นอนตามกระท่อมที่โครงการได้สร้างไว้หลายหลังริมทุ่งนาด้วย

“หลังจบการเข้าค่าย ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาว่างหนูจะกลับไปช่วยพี่ๆ ที่โครงการทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ เรียกว่าที่นี่สร้างความประทับใจให้กับพวกเรามาก สิ่งที่ได้จากการเข้าค่ายคือ ได้ฝึกภาษา ได้ทำในสิ่งที่อาจจะไม่เคยทำ ได้เพื่อนชาวต่างชาติซึ่งเป็น Native Speaker โดยเราได้ติดต่อกันทางอีเมลและสามารถสอบถามงานเขียนเรื่องภาษาอังกฤษที่ถูกต้องได้ ในช่วงเดือน มี.ค. 2561 ที่จะมีการเปิดค่ายอีกรอบ ถ้าว่างหนูก็จะกลับไปช่วยแน่นอน พูดตรงๆ ว่าการได้มาฝึกใช้ภาษาทุกวันในค่ายทำให้เรานึกคำศัพท์ออก ไม่กลัวฝรั่ง และสนทนาภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นจริงๆ ค่ะ”

ฝึกภาษา ทำความดี ในวิถีพอเพียง

 

ขณะที่ น้ำทิพย์ นาเมืองรักษ์ คุณแม่ของ “น้องบอส” วัย 14 ปี หนึ่งในนักเรียนที่เคยมาเข้าค่าย เล่าว่า ได้พาลูกชายซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.2 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด ไปเข้าค่ายที่บ้านนานาชาติฯ เช่นกัน

“จุดประสงค์ที่ดิฉันส่งลูกชายไปเข้าค่ายเพราะอยากให้เขาได้ไปทำกิจกรรมดีๆ เช่น ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาด และอื่นๆ ที่โครงการทำ และอยากให้เขาได้ฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม คือลูกชายรู้ภาษา แต่ติดอยู่ที่ว่าไม่ค่อยกล้าจะสื่อสาร ช่วงที่ส่งเขาไปเป็นช่วงปิดเทอมพอดี เขาจึงไปเข้าค่ายอยู่ที่นี่ 10 วัน

เมื่อน้องบอสกลับมาจากเข้าค่าย เขาเปลี่ยนไปเยอะเลย จากที่ต้องบอกทุกอย่าง ว่าให้ทำนั่นทำนี่หน่อย ตอนนี้ไม่ต้องแล้วค่ะ เพราะเขาจะเดินมาถามเองเลยว่า แม่มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย แถมยังให้แม่ถามคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อให้เขาฝึกพูดอีกด้วย แม่ก็รู้สึกดีใจที่ลูกชายเปลี่ยนไปในทางที่ดี”

น้ำทิพย์ ทิ้งท้ายว่า การที่ลูกชายเริ่มกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น มันช่วยส่งเสริมในเรื่องที่เขาต้องเดินทางไปแข่งขันประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่ต่างประเทศได้ เนื่องจากน้องบอสเก่งด้านวิทยาศาสตร์และการประดิษฐ์หุ่นยนต์อยู่แล้ว ยิ่งรู้ภาษาอังกฤษและสื่อสารได้ ก็จะยิ่งได้ประโยชน์กับตัวลูกชายมากยิ่งขึ้น

“ถ้าโครงการเปิดรับสมัครเด็กช่วงต้นปีหน้า ก็ตั้งใจว่าจะส่งลูกชายไปเข้าค่ายอีกค่ะ การเข้าค่ายจะเสียค่าอาหารแค่ 1,000 กว่าบาทเท่านั้น ส่วนผู้ปกครองท่านไหนจะสมทบทุนช่วยบริจาคเพื่อสร้างสถานที่ใหม่ๆ ในโครงการก็สามารถบริจาคได้เท่าที่ตัวเองสะดวกเลย พูดได้ว่าต้องให้เด็กๆ เข้ามาสัมผัสกับโครงการนี้เอง แล้วจะรู้ว่าพวกเขามีการพัฒนาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในทุกด้านจริงๆ”