ยิว ฮอค โคว+วิลาวัณย์ แก้วกนกวิจิตร คู่หูธุรกิจที่เป็นเหมือนญาติสนิท
ตามความเชื่อของหลักพุทธศาสนา โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ
ตามความเชื่อของหลักพุทธศาสนา โลกนี้ไม่มีความบังเอิญ การที่คนเราอยู่กันคนละประเทศ แต่ได้มารู้จักสนิทสนมจนมาร่วมธุรกิจกัน จนกลายเป็นเหมือนญาติเหมือนคนในครอบครัวนั้น คงทำบุญร่วมกันมาก่อน
เช่นเดียวกับ 2 ผู้บริหารจากโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ “เควิน” ยิว ฮอค โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสไอเอสบีหรือ SISB เขาเป็นชาวสิงคโปร์ที่มาตั้งรกรากและทำธุรกิจที่ประเทศไทยมานานกว่า 20 ปี กับ วิลาวัณย์ แก้วกนกวิจิตร กรรมการบริษัท เอสไอเอสบี
ทั้งคู่รู้จักกันในฐานะผู้ปกครองที่มีลูกเรียนโรงเรียนเดียวกันมานานหลายปีจนกระทั่งวันนี้เขาทั้งคู่กลายมาเป็นหุ้นส่วนและทำธุรกิจร่วมกันมาสักพักใหญ่ๆ จนสามารถนำพาธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
สองคนสองแรงร่วมผลักดันธุรกิจ
แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสคัดค้านหรือต่อต้านบ้าง แต่ทั้งคู่ก็เชื่อมั่นและยืนหยัดว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องชัดเจนในด้านธุรกิจ และก็ผ่านมันมาได้ด้วยความมุ่งมั่นจริงใจ เควิน รับผิดชอบในการบริหารงานและดูแลด้านนโยบายต่างๆ การขยายสาขา และกำหนดทิศทางโครงสร้างการบริหารงานทั้งหมด
“ที่ต่างประเทศ การนำโรงเรียนเอกชนเข้าตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเทศไทยยังเป็นเรื่องใหม่ คนเริ่มก่อนก็ยากหน่อย เพราะอาจมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนกันไปบ้าง แต่ในที่สุดเราก็ผ่านมันไปได้ ตัวเราเองก็มั่นใจว่าเราทำถูกต้องตามกรอบกติกาทุกอย่าง” เควินเล่าอย่างใจเย็น
ทางด้าน วิลาวัณย์ นั้น จะรับผิดชอบความเรียบร้อยในโรงเรียน เรื่องรับสมัครนักเรียน ดูแลครู และความเรียบร้อยทุกด้านภายในโรงเรียน เป็นหลังบ้านที่คอยสนับสนุนให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อยดูดี เรียกว่าเป็นหลังบ้านที่แข็งขันนั่นเอง
“เราแบ่งบทบาทในการทำงานกันอย่างชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน จะทำงานได้สะดวกเร็วไว ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เวลามีเรื่องที่ต้องตัดสินใจก็เข้าสู่ที่ประชุม เรามีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันคือการทำให้โรงเรียนเติบโต มีคุณภาพการเรียนการสอนที่แข็งแรงในระดับนานาชาติ
เพราะหลักสูตรการเรียนแบบสิงคโปร์นั้นมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ เควินเขาก็เป็นคนสิงคโปร์ มีความเข้าใจในระบบการศึกษาที่นั่นเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีคอนเนกชั่นที่จะหาพันธมิตรดีๆ มาร่วมการทำงานให้ดีมากขึ้นไปอีก”
จุดแข็ง SISB เป็นแบรนด์ที่สร้างขึ้นเอง ไม่ได้ไปซื้อแฟรนไชส์มาจากที่อื่น มีการนำหลายๆ หลักสูตรที่ดีที่สุดเข้ามารวมกัน (หลักสูตรสิงคโปร์ อังกฤษ และ International Baccalaureate - IB) เพื่อสร้างหลักสูตรที่ดีที่สุดขึ้นมา แต่จะใช้หลักสูตรของทางสิงคโปร์เป็นหลัก เพราะเป็นหลักสูตรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
เควิน กล่าวว่า จุดเด่นของโรงเรียนแห่งนี้ คือเป็นหลักสูตรสิงคโปร์ที่มีสอน3 ภาษา อยู่ด้วยกันในหลักสูตร คือภาษาอังกฤษป็นหลัก ภาษาจีนเรียนแบบเต็มเวลาที่บรรจุอยู่ในหลักสูตร และภาษาไทยรองลงมา เพราะเป้าหมายเน้นที่เด็กกลุ่มเอเชีย
“กลยุทธ์คืออยากจะพัฒนาเด็กในเอเชีย และอยากจะพัฒนาการศึกษาของไทย โดยเน้นคุณภาพของหลักสูตรและเล็งเห็นคุณภาพของเด็กที่จบออกมามีความสำคัญ มีค่าเทอมที่เหมาะสมที่คนชนชั้นกลางสามารถเข้าถึงได้ ถ้าเทียบค่าเทอมในระดับโรงเรียนนานาชาติด้วยกันที่ SISB ถือว่าราคาไม่แพงมากนัก”
เพราะเควินอยากพัฒนาโรงเรียนให้เป็นระดับเวิลด์คลาส สกูล อยากให้เด็กทุกคนมีความสามารถและประสบความสำเร็จสามารถเป็นผู้นำและช่วยเหลือสังคมได้ ซึ่งเด็กของที่นี่จบไปก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ในต่างประเทศได้เยอะมาก
“การวัดคุณภาพของเด็ก ที่นี่จะสอบเป็นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (ในมัธยมปลาย) เพราะเป็นนานาชาติที่สามารถเข้าได้ทั่วโลก ทั้งอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย ไทย หรือสิงคโปร์ในบางส่วน แต่ที่เหลือก็จะมีการสอบเพิ่มที่โรงเรียน และปีหน้าตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนนักเรียนให้ครบ 3,000 คน ในปี 2563”
วิลาวัณย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คุณภาพของโรงเรียนจะถูกการบอกผ่านปากต่อปากของผู้ปกครองอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องพัฒนาคุณภาพของคุณครูบุคลากรในเรื่องการเรียนการสอน และพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ดีที่สุด เพื่อให้เด็กมีพื้นที่มาคุยปรึกษาหารือกัน มีบรรยากาศที่สวยงามน่าเรียน
“เรามีทิศทางในการทำงานแบบเดียวกัน ทำงานด้วยกันได้ เพราะเรารักเด็ก รักในการศึกษา อยากให้เด็กๆ ได้รับการศึกษาที่ดี รวมไปถึงด้านอื่นๆ ด้วย เราสองคนเคยเป็นนักกีฬาที่เรียนเก่งด้วย (หัวเราะ) จึงอยากสนับสนุนเรื่องเรียนควบคู่กับกีฬา คุณเควินก็เป็นผู้จัดการทีมกีฬาอยู่ด้วย”
ชัดเจนตรงไปตรงมาทั้งคู่
แม้จะเป็นคนละชาติ แต่ในเรื่องการทำงานไม่มีปัญหา วิลาวัณย์ กล่าวว่า เมื่อมีปัญหาในเรื่องงานก็จะเปิดใจคุยกันและช่วยกันแก้ปัญหา
“เวลาที่แก้ปัญหาเมื่อความคิดไม่ตรงกัน เราจะพูดคุยกันด้วยเหตุผล และยอมรับฟังเหตุผลของกันและกัน เพราะต่างคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ก็จะจบกันด้วยเหตุผลที่ดีที่สุด เราถึงทำงานร่วมกันได้มาถึง 18 ปี เพราะบางครั้งคุณเควินอาจจะเร็วไปหน่อย เราก็จะค่อยเบรกนิดนึง เขาคิดเร็วทำเร็ว เราจะช้าหน่อยคิดหลายรอบ ก็เลยลงตัว เราทำงานกันด้วยความเข้าใจและรับฟังกัน”
เธอบอกว่า ทำงานด้วยกันก็สบายใจ ไม่เครียด คิดว่าเขาเป็นเสมือนน้องชาย เป็นญาติ ที่มีความปรารถนาดีต่อกัน ลูกๆ ของเราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กจนโตๆ กันแล้ว
เหมือนพี่สาวที่ใจดีมากๆ
ทางด้านเควิน กล่าวถึงเพื่อนร่วมธุรกิจของเขาว่า วิลาวัณย์ เป็นคนใจเย็น ใจดีมาก ทั้งยังเป็นผู้รับฟังที่ดี
“มีอะไรก็คอยแนะนำ ดูแลเอาใจใส่ทุกคนเป็นอย่างดี ทำให้ทำงานด้วยได้อย่างสบายใจ เขาสนับสนุนให้งานก้าวหน้าได้เป็นอย่างดี โชคดีที่ได้ร่วมงานกันครับ เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน คือเอาเด็กเป็นที่ตั้ง ทำโรงเรียนให้ดีมีคุณภาพ
นอกจากจะป็นเพื่อนร่วมงาน คุณวิก็เหมือนเป็นญาติคนหนึ่ง เพราะเราก็เติบโตมาด้วยกัน ลูกๆ เราก็สนิทกัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม