‘กัวซา’ ดูแลสุขภาพ
...หนูดี-วนิษา เรซ
ทางเลือกในการดูแลสุขภาพทุกวันนี้ มีมากมายหลายวิธี และคนเมืองอย่างพวกเราก็มีที่ทางให้ไปมากมาย ทั้งการไปหาแพทย์แผนตะวันตกเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยแล้ว หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องผ่าตัด ต้องใช้เครื่องสแกน ต้องฉีดยา ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติที่เราต้องทำเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมา
แต่ระหว่างที่เรายังไม่เจ็บป่วยหนักถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลนั้น เราก็อาจไม่ได้รู้สึกดีเต็ม 100 ก็ได้ เราอาจรู้สึกเพลีย เหนื่อย ไม่มีเรี่ยวแรง หรือแค่ขี้เกียจโดยไม่ทราบสาเหตุ บางครั้งปวดคอ ปวดหัว ปวดท้อง แต่ไปหาหมอก็ตรวจไม่พบอะไร เราก็เลยรู้สึกรำคาญๆ แต่จะให้หมอที่โรงพยาบาลทำอะไรให้ก็ยังไม่เป็นหนักถึงขั้นนั้น
ตรงนี้ละค่ะ หนูดีว่าที่น่าสนใจ
เพราะเราคงไม่ได้เป็นมะเร็งกันทุกวัน หรือเป็นโรคหัวใจ เส้นโลหิตในสมองแตกกันบ่อยๆ แต่เรื่องทำงานหรือใช้ชีวิตได้ไม่เต็มร้อย เพราะสุขภาพไม่ได้สดชื่นยาวนานตลอดทั้งวัน อันนี้ล่ะที่คนทั่วไปเป็นกันบ่อยมากๆ
หนูดีเองก็เป็นเหมือนกันค่ะ เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ปวดหัว ปวดท้อง อาหารเป็นพิษ ง่วงเหงาหาวนอนตอนบ่ายๆ และสิ่งนี้เลยทำให้หนูดีอยากรู้ว่า เราทำอะไรได้บ้างเพื่อสุขภาพของตัวเอง ก่อนนาทีที่จะต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาล
ความสงสัยนี้ทำให้หนูดีหันกลับมามองศาสตร์โบราณที่ช่วยในการดูแลสุขภาพประเภทต่างๆ ทั้งของไทย เช่น แพทย์แผนไทย สมุนไพรไทย ของจีน เช่น การฝังเข็ม ครอบแก้ว ทุยหนา อินเดีย เช่น การฝึกโยคะ และปราณยามะ ญี่ปุ่น เช่น ศาสตร์เซไตย ที่ไปถึงกับต้องจ้างล่ามพาไปเพราะหนูดีไปไม่ถูกด้วยภาษาญี่ปุ่นขั้นเตาะแตะของตัวเอง ศาสตร์ตะวันตก เช่น แพทย์จัดกระดูก ที่เรียกกันว่า ไคโรแพรกเตอร์ แต่ละที่ที่ไปก็สนุกสนานกันไปคนละแบบ จนการดูแลสุขภาพในแบบทางเลือกนี้ เป็น “งานอดิเรก” ของหนูดีมาได้เกือบสิบปีแล้ว
ล่าสุด หลังจากกลับจากปฏิบัติธรรมกับหมู่บ้านพลัมเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โรงเรียนวนิษาของหนูดีก็โชคดีได้ “พระมาโปรด” คือ หลวงพี่พิทยา พระจากหมู่บ้านพลัม ท่านได้มาพักเพื่อสอนธรรมะเด็กๆ และครูที่โรงเรียนถึง 2 วันเต็ม เป็นที่อิ่มเอิบของทุกๆ คน
ตัวหนูดีเองเป็นเพื่อนกับคุณเอ ผู้ที่ติดตามดูแลท่านมาด้วยในครั้งนี้ ระหว่างวันก็เลยมีโอกาสได้พูดคุยกัน คุณเอได้อัพเดตข้อมูลว่า ท่านพิทยาและตัวคุณเอมีโอกาสได้ไปเรียนรู้วิธีการดูแลสุขภาพทางเลือกกับ “หมอเขียว” ที่มุกดาหารมา และเริ่มเปลี่ยนแปลงอาหารที่รับประทานรวมทั้งวิถีชีวิตบางส่วนด้วย เช่น เริ่มดื่มน้ำใบย่านาง เริ่มขูดกัวซา
หนูดีได้ยินแล้วถามทันทีเลย “อะไรนะคะ ขูดกัวซา” เพราะชื่อคุ้นๆ เคยอ่านผ่านๆ ตาอยู่บ้าง แต่ไม่แน่ใจ 100% ว่ามันคืออะไร คุณเอเลยถามกลับว่า “ลองไหม” เดี๋ยวก่อนค่ะ ลองอะไร อธิบายมาให้กระจ่างก่อน ชื่ออย่างนี้ เดาไม่ค่อยถูกด้วยว่าเขาทำอะไรกัน รู้มาเลาๆ ว่า มันคือการขูดพิษออกจากร่างกาย
คุณเอเลยอธิบายพร้อมทั้งหยิบช้อนไม้พิเศษที่ใช้ขูดออกมาประกอบอีกด้วย เห็นท่าทางแล้วน่าหวาดเสียว ต้องขูดที่หลังแล้วหากเรามีพิษสะสมอยู่ในร่างกายตรงที่ขูด หลังก็จะแดงขึ้นมาเป็นปื้นเหมือนกับเป็นลมพิษ เช่น ตรงหัวไหล่หมายความถึงลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ถ้าลำไส้ใหญ่เรามีพิษสะสมเยอะ หัวไหล่ก็จะแดง และเมื่อพิษมาอยู่ที่ผิวหนังก็พร้อมจะระบายออกนอกร่างกาย เราก็จะสบายขึ้น อาการเจ็บป่วยก็ลดน้อยลง เอาล่ะ ด้วยความชอบลองเป็นนิสัยดั้งเดิม รวมทั้งอยากเอาใจเพื่อนด้วย หนูดีก็เลยตัดสินใจลองดูค่ะ
เราอยู่กันที่ออฟฟิศหนูดี แต่การขูดหลังนี้ต้องใช้น้ำมันด้วย ซึ่งตอนนั้นไม่มีแน่นอน เพราะไม่รู้จะเสกน้ำมันมาจากไหนนอกจากน้ำมันพืชในครัวกลาง ไม่ไหวค่ะ คุณเอเลยตัดสินใจเอาน้ำเปล่าก็แล้วกัน ว่าแล้วกระบวนการทดลองรักษาก็เกิดขึ้น โดยคุณเอเป็นเพียงนักเรียนร้อนวิชา ไม่ใช่หมอ และหนูดีก็เป็นเพื่อนที่อยากรู้ อยากลอง
การขูดพิษนี้ ไม่เจ็บตอนขูดค่ะ เพราะหลังเราจะชุ่มด้วยน้ำ (หรือลื่นด้วยน้ำมัน หากคุณโชคดีกว่าหนูดี) และผู้รักษาก็จะขูดด้วยช้อนไม้ (หรือบางคนใช้เขาสัตว์ เหรียญ หรือช้อนโลหะ) กดด้วยน้ำหนักมากที่สุดที่ผู้ถูกรักษาไม่รู้สึกเจ็บเกินไป ว่าไปแล้วหนูดีไม่เจ็บเลยค่ะ รู้สึกสบายตัวเสียด้วยซ้ำ ขูดไปทั่วแผ่นหลังอยู่ประมาณ 20 นาที ก็เป็นอันเสร็จพิธี
พอเอากระจกมาส่องหลังเมื่อเสร็จแล้วน่ะสิคะ หนูดีแทบเป็นลม ที่ว่าไม่เจ็บๆ นั้น หลังหนูดีแดงเป็นปื้นขึ้นมาปื้นใหญ่ ตั้งแต่หลังคอไปจนช่วงบ่า และไปแดงมากอีกทีตรงบั้นเอว ส่วนกลางๆ หลังนั้นแม้ขูดหนักเท่ากันก็ไม่เกิดผลอะไร คุณเอเลยบอกว่า “สงสัยว่าหนูดีจะลำไส้อ่อนแอ และระบบภายในของผู้หญิงอ่อนแอ เช่น มดลูก อะไรแบบนั้น” ข้อมูลนี้ถูกต้องค่ะ ตรงกับที่หนูดีเป็นจริงๆ และก็รักษากันอยู่ แต่หนูดีก็เลยถามกลับว่า “ทำไมสงสัยล่ะ ไม่ฟันธงเหรอ” เพื่อนเลยตอบง่ายๆ ว่า “ไม่รู้ จำไม่ได้ เราไม่ได้ท่อง บอกแล้วไง ไม่ใช่หมอ” ฟังแล้วหัวเราะเลย ขูดกันอยู่ตั้งนาน สรุปง่ายๆ อย่างนี้เอง
ที่หนูดีชอบมากคือ คืนนั้นค่ะหนูดีสบายเนื้อสบายตัวมาก จากที่เคยปวดหัวไหล่เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ แล้วต้องบิดม้วนตัวท่าโยคะก่อนนอนให้หายเมื่อย คืนนั้นบ่าหายหนักไปเลย ต้องยอมรับว่าสบายกว่าเวลาไปนวดตัวแล้วให้เขาย้ำตรงหัวไหล่อีก ติดใจเสียแล้วสิคะ วันรุ่งขึ้น คราวนี้หนูดีหอบน้ำมันมะพร้าว เบาะนวด เสื้อเปลี่ยนไปเลย ขอให้คุณเอทำให้อีกที คุณเอก็ดีใจหายค่ะ ลงมือทำแบบเอาจริงเอาจัง คราวนี้แดงไปทั้งหลัง แต่สบายตัวมาก
เห็นติดใจแบบนี้ คุณเอชวนเลย “หนูดี ไปเรียนด้วยกันไหมล่ะ ถ้าชอบ” โอ้โฮ ไปเรียนถึงไหนกันนี่ คำตอบคือ ก็ที่มุกดาหารนั่นเอง วันที่ 1117 พ.ย. คิดอยู่เพียงนาทีเดียว ใจหนูดีก็ตกลงไปกว่าครึ่ง เหลือแต่งานที่พัวพันอยู่มากมาย หนูดีจะจัดการอย่างไร แต่ในที่สุดก็จัดการได้ค่ะ ลงตัว จองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย ไปอยู่สวนป่านาบุญ 8 วันนะคะ แล้วสัปดาห์หน้า จะกลับมาเล่าให้ฟังว่าแพทย์แผนนี้ที่เขาเรียก “วิถีพุทธ” นั้นเป็นอย่างไร