Love Bombing เมื่อคนคลั่งรัก เปลี่ยนเป็นคนคลั่ง(ทำ)ร้าย
มีการอธิบายถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยการหลงรักแบบทุ่มสุดตัว รักเร็วในปริมาณที่ร้อนแรง แต่สุดท้ายเมื่อถึงจุดหนึ่งในความสัมพันธ์ก็เปิดเผยตัวตนที่ต้องการจะควบคุมคนรัก จนบางครั้งนำไปสู่การทำร้ายร่างกายและจิตใจ ความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘Love Bombing’
Love bombing เป็นความพยายามที่จะเข้าไปมีอิทธิพลในชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งในวัตถุประสงค์ที่ดีและไม่ดี โดยฝั่งหนึ่งมักจะมีนิสัยหลงตัวเองหรือมีลักษณะบุคลิกต่อต้านสังคม โดยชอบเข้าไปควบคุมความคิดและชีวิตของอีกคน นักจิตวิทยาชี้ว่าความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะนำพาความสัมพันธ์ไปสู่การถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ
เริ่มต้นรักแบบโรแมนติก
คำพูดในรูปแบบที่ว่า ‘ไม่เคยรักใครเท่าเธอมาก่อน’ หรือการกระทำของอีกฝ่ายที่ดีมากจนต้องเอาไปบอกเพื่อนแบบเก็บทรงไม่อยู่ว่า ‘เขาดีเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง’ เขาไม่ได้แค่พูดแต่กระทำให้เห็นและจุดความสัมพันธ์ติดแบบรวดเร็วและทำให้เราหลงคิดว่าหรือนี่คือคนที่ใช่? เพราะในช่วงแรกสารโดปามีนหรือเอ็นดอร์ฟินที่หลั่งออกมาจะทำให้เราตกหลุมรักและเคลิบเคลิ้มไปกับของขวัญ ความเอาใจใส่ คำพูดหวานๆ หรือความโรแมนติกในความสัมพันธ์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอาจมองได้จากกรณีของนักแสดงระดับโลกจอห์นนี่ เดปป์ เมื่อครั้งตกหลุมรัก แอมเบอร์ เฮิร์ด ในปี 2012 จากซีนในห้องอาบน้ำของหนังเรื่อง The Rum Diary ที่ฉากเลิฟซีนนั้นจอห์นนี่ เดปป์ถึงกับบอกว่า 'มันจริงมากจนเขาตกหลุมเธอ! และเมื่อใช้ชีวิตร่วมกันก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นคู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบมาก' แต่หลังจากนั้นเป็นเวลาไม่ถึง 2 ปี ก็กลับมีปากเสียงและทำร้ายกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ และในที่สุดก็นำไปสู่การฟ้องร้องครั้งประวัติศาสตร์จนกลายเป็นที่สนใจจากผู้คนทั่วโลกในเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา
คนรักที่เริ่มสร้างความสัมพันธ์และทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าดูดีจนเกินจริงนี้ ต้องระวังว่าจะเข้าสู่ความสัมพันธ์ในรูปแบบ Love Bombing โดยฝ่ายหนึ่งจะมีบุคลิกภาพเป็นโรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder หรือ NPD) ลักษณะนิสัยจะเชื่อมั่นในตัวเองสูง ไม่ยอมรับผู้อื่น นำมาซึ่งพฤติกรรมต่อต้านสังคม เช่น การโอ้อวด การดูถูกผู้อื่นหรือไม่เห็นอกเห็นใจใครโดยเฉพาะคนที่ด้อยกว่า และชอบบังคับให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ตนต้องการ หากเป็นคนที่หลงตัวเองอย่างสุดโต่งมักจะมีพฤติกรรมโกหก การข่มขู่ การด้อยค่าผู้อื่น หรือแม้กระทั่งทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตนมีอำนาจอยู่เหนือคนๆ นั้น
จากงานวิจัของมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ (University of Arkansas) พบว่าพฤติกรรมของความรักในรูปแบบนี้ จะระเบิดความรักอย่างหนักหน่วงในช่วงแรกเพื่อที่จะใช้ความรักควบคุมอีกฝั่งอย่างเกินขอบเขต ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนในกลุ่ม Millennials หรือกลุ่มคนที่มีอายุ 27-42 ปี คนกลุ่มนี้เกิดมาในยุคที่การสื่อสารระหว่างกันเป็นเรื่องง่ายขึ้นและอยู่ในยุคแรกของการเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี ทำให้มีพฤติกรรมพิมพ์แชทตอบโดยไม่หยุดคิด สามารถส่งหากันเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งกลางวันกลางคืนโดยไม่คิดว่าเป็นการรบกวน หรือการตอบก็จะมีความรู้สึกว่าต้องตอบในทันทีอย่าให้รอนาน ซึ่งการติดต่อที่ง่ายขึ้นนี้เองที่ทำให้ขอบเขตของพื้นที่ส่วนตัวในความสัมพันธ์หายไป
นอกจากนี้การที่เข้าสู่สังคมของการโพสต์รูปและอยากโชว์ช่วงเวลาดีๆ ของชีวิตก็เป็นการเร่งให้ความรักต้องเปิดเผยโดยเร็ว เพื่อจะเสนอต่อสังคมให้รู้ว่าความรักที่เกิดขึ้นนี้มันจริงจัง
รักหรือลวง … เมื่อความจริงเปิดเผย
มีการระบุถึงลำดับขั้นของความสัมพันธ์ในรูปแบบ Love Bombing ในช่วงระยะแรกที่พบเจอกันจะถูกเรียกว่าอยู่ในขั้น Idealization หรือรักในอุดมคติ คู่ของเราจะทำทุกอย่างให้รู้สึกว่านี่คือความรักที่ถอนตัวไม่ขึ้น ทันใดนั้นเมื่ออีกฝั่งรับรู้ถึงความรักของเราที่ ‘ขาดเธอไม่ได้’ หรือเริ่มรู้สึกสบายใจกับความสัมพันธ์ ก็เริ่มเข้าสู่ขั้นต่อไปนั่นคือ ขั้น Devaluation ซึ่งเราสามารถสังเกตความสัมพันธ์ว่าเข้าข่ายหรือไม่ในสเตจนี้อย่างชัดเจน
หากคู่รักเป็น Love bomber หรือคนที่สร้างความสัมพันธ์ดังกล่าว จะพูดจาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย และที่สำคัญคือเข้ามาควบคุมชีวิตของเราแบบเกินพอดี ถ้าอยากจะติดต่อต้องรับสาย ต้องการเวลาจากคู่รักเป็นอย่างมาก จะทำอะไรต้องบอกให้รับรู้ทุกอย่างไม่งั้นมีขัดใจ ที่สำคัญคือพยายามแยกคนรักออกจากครอบครัวและเพื่อน และบางครั้งก็มีสภาวะ Gas lighting คือ พยายามโน้มน้าวจนทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราคิดคงผิดแหละ หรือสิ่งที่อีกฝั่งหนึ่งทำแม้จะผิดมากๆ แต่ก็เข้าใจได้ และพยายามโน้มน้าวว่าความสัมพันธ์ที่เป็นนี้มันดีมากๆแล้ว และเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็จะนำไปสู่การใช้กำลัง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการในที่สุด
เมื่อถึงวันที่คนรักคิดจะพูดถึงพฤติกรรมการทำร้ายดังกล่าว ตอนนี้เองจะเข้าสู่สเตจต่อไปคือ Depart คนรักที่มีอาการหลงตัวเองจะใช้วิธีการไม่อธิบายและเลือกจากไปแบบให้อีกฝ่ายสับสนว่า ‘ฉันทำผิดอะไร’ แน่นอนว่าความรักที่ฟูมฟักกันมาในระยะแรกจะทำให้ฝั่งที่เปิดประเด็นเกิดอาการฟูมฟายว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป Love Bomber ก็อาจจะกลับมาร้องไห้ พูดจาดีและทำตัวดีด้วย จนทำให้อีกฝั่งรู้สึกว่าการทำร้ายร่างกายและความรู้สึกที่เกิดขึ้น อาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาหรือเธอ เกิดความสับสนว่าตัวตนของคนรักเป็นอย่างไรกันแน่ และแน่นอนว่าก็ต้องนึกเทียบกับช่วงเวลาแรกๆ ที่สุดแสนจะเป็นคนดี เราจึงพบว่าคนรักที่อยู่ในความสัมพันธ์แบบ Love Bombing ออกมาจากสถานการณ์เหล่านี้ได้ยาก หรือมีโอกาสจะกลับไปใหม่ได้เสมอ
ใครที่มีโอกาสตกหลุมได้ง่าย?
โดยส่วนใหญ่จะมีการระบุว่าคนที่มีบุคลิกที่มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ ไม่รักตัวเอง หรือมีปมด้อยค่าตัวเองจะเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์นี้ได้ง่าย อย่างไรก็ตามคนที่มีความมั่นใจสูงและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างดีก็สามารถเป็นเหยื่อของ Love Bomber เช่นกันถ้าคนเหล่านี้รู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายมากเกินไป เพราะเขาหรือเธอจะพยายามเข้าอกเข้าใจสิ่งที่คนรักทำและให้โอกาสอยู่เสมอ จนนำไปสู่วงจรของการทำร้ายร่างกายและจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Love Bombing หรือ รักแบบโรแมนติก แยกยังไงดี?
ความสัมพันธ์ที่ดีคือความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างรับฟังและปรับตัวเข้าหากัน ถ้าการพูดคุยนั้นจบด้วยการเถียงและเอาชนะจากอีกฝั่งตลอด และไม่เคยเคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน ด้วยการพยายามเปลี่ยนความคิดและควบคุมชีวิต นี่คือสัญญาณเตือนว่าเราอาจจะพบเจอกับความสัมพันธ์แบบ Love Bombing ซึ่งจะทำให้สูญเสียตัวตน และแย่กว่านั้นคืออาจถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ หากอยู่ในสถานการณ์นี้ให้ตัดสินใจจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่าพยายามเอาความดีในอดีตมาหักล้าง เพื่อพยายามเข้าใจว่าการถูกทำร้ายเกิดขึ้นได้ในความสัมพันธ์ สิ่งที่ควรทำที่สุดคือการรีบออกมาจากเขาหรือเธอ และเชื่อว่าเรามีคุณค่าในตัวเองอยู่เสมอ.
ที่มา
https://www.nsm.or.th/nsm/th/node/15461
https://medium.com/written-with-love/is-love-bombing-the-love-language-of-millennials-12021906e19f
https://en.wikipedia.org/wiki/Love_bombing
https://www.cosmopolitan.com/sex-love/a26988344/love-bombing-signs-definition/