เปิดความเก่ง ‘เฟรเดริก’ ผู้กำอนาคตแบรนด์นาฬิกาหรู และ(อาจ)กำหัวใจ 'ลิซ่า'
กลายเป็นกระแสชั่วข้ามคืน เพราะ ‘เฟรเดริก อาร์โนลต์’ ตกเป็นข่าวลือเดทกับซุปตาร์สัญชาติไทยอย่าง ‘ลิซ่า' แต่ทว่าในโลกของธุรกิจ ผู้ชายคนนี้สามารถรับหน้าที่ CEO ของแบรนด์นาฬิกาหรู TAG Heuer ได้ในวัยเพียง 25 ปี และพาแบรนด์ของเขาผงาดพ้นวิกฤตโควิดได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กัน
เริ่มต้นก้าวสู่การเป็น CEO
เฟรเดริกเป็นลูกชายคนที่ 4 ของ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ (Bernard Arnault) เจ้าของอาณาจักร LVMH ที่มีแบรนด์หรูอยู่ในกำมือมากมาย รวมไปถึง Celine และ Bulgari ที่ลิซ่าเป็นแอมบาสเดอร์ เขาเข้ามาสู่วงจรธุรกิจเป็นคนสุดท้ายในบรรดาพี่น้องทั้งหมด .. เบอร์นาร์ดตั้งใจจะมอบตำแหน่ง CEO ให้กับเฟรเดริกอยู่ก่อนแล้ว โดยมอบหมายให้ Stephane Bianchi ซึ่งดำรงตำแหน่ง Chief Executive และ Head of the watch business เป็นผู้ดูแลและฝึกฝนเขา และเมื่อมีสัญญาณว่าเฟรเดริกพร้อมที่จะรับตำแหน่ง Bianchi จึงกลับมาบอกเบอร์นาร์ด
Bianchi ยอมรับกับนิตยสารฉบับหนึ่งว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการก้าวเป็น CEO ไม่ใช่แค่ต้องมีความฉลาด แม้เฟรเดริกจะสามารถเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส แต่สิ่งหนึ่งที่ CEO ต้องมีคือการเป็นผู้นำ ... Bianchi ระบุว่าช่วงแรกเฟรเดริกไม่เคยสงสัยอะไร เพียงแต่ฟังเท่านั้น แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง จนถึงปัจจุบันเฟรเดริกเป็น CEO ประเภทที่ว่าสามารถออกมายอมรับว่าตัวเองทำผิดได้
เฟรเดริกใช้เวลา 3 ปีในการฝึกฝนและเข้ามาทำงานที่บริษัท และได้เริ่มเป็น CEO ในวัย 25 ปี... ทำให้เขาเป็นลูกคนที่ 2 ซึ่งอายุน้อยที่สุดที่ได้กุมบังเหียนบริษัท ต่อจาก อเล็กซานเดร อาร์โนลต์ (Alexandre Arnault) ที่สามารถเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Rimowa แบรนด์กระเป๋าเดินทางสุดหรูสัญชาติเยอรมัน ได้ในวัย 24 ปี แต่เมื่อเทียบตำแหน่งกับผู้บริหารแบรนด์นาฬิกาหรูทั่วโลกแล้วเฟรเดริกคือผู้บริหารที่อายุน้อยที่สุดในโลกคนหนึ่ง ณ ปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงที่เท่าทันยุคโควิด
การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เขาก้าวรับตำแหน่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตโควิดแล้ว เพราะฉะนั้นเฟรเดริกต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ ที่แน่นอนว่าไม่มีแบรนด์ไหนในโลกเคยเจอ แม้แต่ TAG Heuer ซึ่งมีอายุมากกว่า 160 ปี ก็ตาม ในขณะที่แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสหลายแบรนด์หยุดการผลิตและการจำหน่ายหลายเดือน เฟรเดริกพุ่งเป้าการขายของเขาไปสู่ตลาด E-commerce ให้ไวที่สุด โดยเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านออนไลน์มากขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งทำให้เกิดการเติบโตมากกว่าเดิมถึง 329% ในปี 2020
นอกจากนี้เขายังลงทุนกับแบรนด์ในด้านดิจิทัลค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะทั้งการทำเว็บไซต์ หรือ TikTok โดยเฉพาะการเข้าสู่โลก NFTs ซึ่งเขาไม่คิดที่จะทำนาฬิกาคอลเล็กชั่นของแบรนด์ใน NFT แต่ตัดสินใจที่จะสร้างสิ่งอื่นลงไปนั่นคือการสร้าง Display บนนาฬิกา Connected watch ที่สามารถโชว์งาน NFTs ได้ ซึ่งทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้ด้วย
เฟรเดริกเคยสัมภาษณ์ถึงมุมมองของเขาต่อการปรับตัวในครั้งนี้ว่า สิ่งที่ท้าทายที่สุดของการทำธุรกิจในทุกวันนี้คือความไม่แน่นอน ธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้ไว เขามองไปที่แผนพัฒนาทั้งการสื่อสารผ่านดิจิทัลและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น โฟกัสที่การรักษาฐานเดิมไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องโดนใจลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งเขามองไว้ว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้หญิงเป็นหลัก
ด้วยภูมิหลังที่เรียนจบการศึกษาจาก École Polytechnique ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศส ด้วยปริญญาด้านคณิตศาสตร์ประยุกต์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ แม้ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งสูงสุดมาแล้วเพียงแค่ 3 ปี ซึ่งโดยทั่วไปการพัฒนาผลิตภัณฑ์นาฬิการุ่นใหม่จะใช้เวลานานกว่านั้น จึงยังไม่เห็นตัวผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนมุมมองที่มีต่อด้านเทคโนโลยีแบบใหม่ออกมานัก แต่ที่สามารถเห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาได้ อย่างเช่น นาฬิกาสมาร์ทวอทช์รุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Connected ซึ่งได้ทั้งความหรูหราและความดิจิทัล เชื่อมต่อกับมือถือได้ เปลี่ยน Display ได้หลายดีไซน์ รวมไปถึงโหมดต่างๆ สมกับเป็นสมาร์ทวอทช์อย่างแท้จริง หรือรุ่น Carrera Plasma ซึ่งมาในมาดสปอร์ตร่วมสมัยสไตล์โมเดิร์น ที่ทำให้เห็นว่าเขากล้าที่จะพา TAG Heuer ออกจากกรอบเดิม
ภายใต้การบริหารของเฟรเดริก ที่ยังคงรากเหง้าของความคลาสสิกของนาฬิกาแบรนด์หรู ผนวกกับการทำตลาดแบบดิจิทัลเพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ TAG Heuer สามารถเอาชนะโควิดได้อย่างงดงาม และกลายเป็นกำลังสำคัญของ LVMH เพราะในปี 2021 ซึ่งเป็นปีที่ยังคงเกิดการระบาด แบรนด์ของเขาสามารถทำกำไรในไตรมาส 3 ได้สูงถึง 7,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 247,000 ล้านบาท) เลยทีเดียว
เป็นแบรนด์สำหรับคนที่กำลังจะประสบความสำเร็จเหมือนตัวเขา
เมื่อโฟกัสไปที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น เฟรเดริกมองว่าคนรุ่นใหม่ซื้อผลิตภัณฑ์ด้วยแพชชั่น และนั่นเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาเลือกจะจับมือกับธุรกิจรถหรูอย่าง ‘Porsche’ มีการออกมาระบุว่าเฟรเดริกติดต่อไปยังผู้บริหารของ Porsche แต่ไร้คำตอบหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่ยอมแพ้จนได้ดีลนี้ในที่สุด
เช่นเดียวกับ ‘ไรอัน กอสลิง’ ดาราชายที่เฟรเดริกเห็นจากเรื่อง Drive ซึ่งไรอันนั้นไม่ค่อยจะรับงานแอมบาสเดอร์เท่าไหร่ ไม่เคยโฆษณาสินค้าใดๆ และไม่มีช่องทางโซเชียลมีเดีย แต่เฟรเดริกต้องการเขาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ยิ่งน่าค้นหา’
เขาให้เหตุผลว่า ไม่ได้ต้องการอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอยู่แล้ว และต้องการคนใหม่ๆ เพราะเฟรเดริกตั้งโจทย์แบรนด์ไว้ว่า ต้องเป็นนาฬิกาสำหรับผู้คนที่กำลังจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่นาฬิกาของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เพราะผู้คนต้องหมั่นที่จะมองหาความสำเร็จใหม่ๆ ในชีวิตเสมอ
เฟรเดริกเป็นคนที่ชอบแข่งขัน และเกลียดการพ่ายแพ้ และแน่นอนว่าเขาชอบการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ‘ดนตรี’ ก็เป็นอีกสิ่งที่เขาชื่นชอบไม่แพ้กันโดยเฉพาะเปียโน ดูเหมือนว่าดนตรีจะเป็นสิ่งที่สืบทอดและคงอยู่ในครอบครัวของเขา เพราะแม่เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียง เฟรเดริกเคยให้สัมภาษณ์ว่า ‘ดนตรีก็เหมือนการทำสมาธิ และเป็นช่วงเวลาที่อนุญาตให้เขาได้โฟกัสในสิ่งอื่นๆ (นอกเหนือไปจากธุรกิจ)’
ที่มา
https://www.forbes.com/sites/robertanaas/2020/10/15/frdric-arnault-ceo-of-tag-heuer-says-growth-innovation-is-on-target-despite-covid-19/?sh=7a1f4a824bbe
https://www.watchonista.com/articles/interviews/watchonista-one-one-tag-heuer-ceo-frederic-arnault-next-generation