ปักหมุดวันหยุดยาว สายเที่ยวเน้นกิจกรรมใกล้กรุง ออกบ้านตอนนี้ยังทัน!!
หยุดยาวแล้ว บางคนเพิ่งรู้ตัวว่ามีวันหยุดเพิ่มวันที่ 31 จากที่ไม่มีแพลนไปไหนก็เริ่มคิด แต่ถ้ายังคิดไม่ออก เรามีสถานที่เที่ยวใกล้กรุง ให้ทุกคนได้ลองเช็คอินและจับจองกัน เน้นกิจกรรมตั้งแต่ลุยน้ำ ลอยฟ้า ตะลุยบก! ไปจนถึงถ่ายรูปกับบรรยากาศแบบชิลๆ
1. Paramotor เหินฟ้าที่พัทยา
ใครอยากจะขึ้นไปลอยฟ้าแต่ยังคงมีคนประกบให้อุ่นใจ ก็ต้องไปลองกิจกรรมนี้กัน พารามอเตอร์คือเครื่องบินขนาดเล็กประกอบกับร่ม มีนักบินคอยบินและบังคับให้ด้านหลัง ไม่ต้องมีสกิลก็เหินฟ้าได้ มีเซฟตี้และหูฟังกันลมพร้อม แถมยังเหลือมือไว้ให้ถ่ายรูปตัวเอง เซลฟี่กับท้องฟ้าพัทยา ที่วิวดีมากแบบ 360 องศาและได้เห็นมุมที่ต่างออกไปได้หลายร้อยรูป และแน่นอนว่าได้ภาพออกมาสวยงามดูมีกิจกรรมแน่นอน เพราะส่วนมากแล้วจะเล่นได้ 2 เวลาคือเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ซึ่งเวลาการทำกิจกรรมจะอยู่ที่ 20-30 นาที ด้วยราคาหลักพัน!!
2. Parasailing มองฟ้าพัทยา
อีกหนึ่งกิจกรรมหากใครอยากจะขึ้นไปบนท้องฟ้าคนเดียว ไม่ต้องใช้สกิลมาก แนะนำพาราเซลลิ่ง หรือเรือลากร่มนั่นเอง ซึ่งสามารถเล่นได้ทุกเวลาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ราคาแค่หลักร้อย โดยจะต้องลงเรือไปรออยู่ที่แพกลางทะเล จากนั้นก็ใส่ชุดชูชีพที่ต่อเข้ากับร่มชูชีพ จากนั้นเรือก็จะลากเราลอยขึ้นไปบนฟ้า ท้าอากาศได้อย่างจุใจ
3. SUP board ใกล้กรุงเทพฯ
หากใครชอบกิจกรรมทางน้ำอย่าลืมหาเวลามาเล่น SUP board ซึ่งมีหลายประเภทมากๆ SUP board ด้วยหลักการคือการยืนพายบนบอร์ด แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการเล่นบนบอร์ดไปในหลายๆ รูปแบบ ซึ่งแน่นอนว่ามีให้ได้เล่นกันใกล้ๆ กรุงเทพฯแน่นอน
เริ่มต้นจาก LIFT EFOIL หรือกระดานโต้คลื่นบินได้เหนือผิวน้ำ ทำให้เวลาเราขึ้นไปเล่นบนบอร์ด บอร์ดนั้นจะไม่ติดกับน้ำ แต่ละลอยอยู่เหนือน้ำ โดยเราสามารถควบคุมผ่านคอนโทรลเลอร์ไร้สาย โดยหน้าที่ของเราคือการขึ้นไปยืนและทรงตัวให้ดีเท่านั้น โดยปกติตามสถานที่ให้เช่าเล่นก็จะมีครูสอนส่วนตัว และค่าเช่าคิดเป็นชั่วโมงตั้งแต่ 1,000 บาทต่อชั่วโมงเป็นต้นไป
ส่วนใครไม่ขอเอ็กซตรีมขนาดนี้ ก็สามารถเช่า SUP board ปกติพายได้ บางที่ก็จะพาไปพายให้เห็นบรรยากาศของฝั่งคลองแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะเออ ให้ได้เห็นสภาพแวดล้อมสองข้างฝั่งไปด้วย พายไปก็เพลินๆ หรือใครอยากจะออกกำลังแบบลดน้ำหนัก สร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย ก็ยังมี SUP yoga หรือโยคะบนบอร์ด ที่ต้องอาศัยการทรงตัวมากๆ แน่นอนว่าทำให้เราต้องเกร็งร่างกาย ทุกส่วนทุกกล้ามมัดได้ออกแรงรีดไขมันกันไปเต็มๆ จ้า
4. ดำน้ำดูเรือจม ที่แสมสาร
อีกหนึ่งกิจกรรมทางน้ำ สำหรับใครที่อยากเป็นเมอร์เมด หรือโพไซดอน ได้อยู่แวดล้อมด้วยฝูงปลานานาชนิด ห้ามพลาดกับจุดน้ำเรือจมสุทธาทิพย์ แสมสาร ชลบุรี ซึ่งเป็นจุดดำนำ้ชมเรือจมที่ใกล้และดีที่สุดในอ่าวไทย ซึ่งเราจะได้เห็นเรือบรรทุกสินค้าที่จมอยู่ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกปกคลุมไปด้วยปะการัง ทำให้มีปลาเล็กปลาน้อย ว่ายกันอยู่เต็มไปหมด แต่การดำน้ำที่นี่จะต้องมีประสบการณ์พอสมควรถึงจะสามารถลงไปดำน้ำได้นะ
แต่หากใครยังไม่มีประสบการณ์แนะนำว่า สามารถจองทริปดูปะการังน้ำใสๆ ชิลๆ แบบเบสิคที่แสมสารก็ดีเช่นกัน หรือจะข้ามไปยังเกาะขามใกล้ๆ นอกจากจะได้ดำน้ำ ผืนทรายที่เกาะขามยังละเอียดมาก ถ่ายภาพคือดีไม่ไหว
5. ล่องแพเปียก ดูอินทรีแดง ที่ปากน้ำประแส
ที่นี่อาจจะต้องลองลุ้นกันสักหน่อยว่าจะว่างมั้ย เพราะมักจะเต็มตอนช่วงสุดสัปดาห์หรือหยุดยาว แต่ก็เป็นอีกกิจกรรมใกล้กรุง ที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดด้วยประการทั้งปวง
แพเปียกที่นี่จะถูกลากด้วยเรือประมงซึ่งเอาไว้หาปลานั่นแหละ ลากเราไปอยู่ในจุดที่เห็นอินทรีแดงโฉบลงมากินปลา ซึ่งถือว่าเป็นไฮไล้ท์ซึ่งที่อื่นไม่มี ใครสายนกห้ามพลาด!! แถมระหว่างทาง ตอนนั่งแพก็ได้เอาเท้าจุ่มน้ำเย็นชื่นใจ มีจุดจอดให้ลงเล่นว่ายน้ำ สำหรับใครที่นั่งแพแล้วยังไม่เปียกสมใจ และพาเราออกปากน้ำประแสไปสัมผัสคลื่นที่อ่าวไทยอีกสักเล็กน้อย ดูพระอาทิตย์ตก ก็ดีไปอีกแบบ
ส่วนใครที่จับจองไม่ทัน การล่องแพเปียกยังสามารถไปเล่นได้ที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่กาญจนบุรี หรือจันทบุรี แต่ละที่ก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไป
6. ล่องแก่ง ลำน้ำเข็ก ที่พิษณุโลก
ล่องแก่งเมืองไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก ต้องยกให้ที่นี่ เพราะสามารถไต่ระดับความท้าทายตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงระดับยากได้ เพราะมีถึง 17 แก่งซึ่งความโหดก็ต้องดูตามความเหมาะสม ความกลัว และความท้าทายของแต่ละบุคคล ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการล่องแก่งก็คือเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป แต่ก่อนไปอยากให้เช็คชัวร์ก่อนจะดีที่สุด เพราะสภาพอากาศช่วงนี้แปรปรวนเสียจริง
โดยลำน้ำเข็กเป็นลำน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ ทอดยาวขนานไปกับเส้นทางหลวงหมายเลข 12 ล่องแก่งที่นี่จึงสะดวกเพราะไม่ต้องเดินเท้าเข้าป่ามาก ไม่ต้องแบกหามเรือยากหรือเตรียมเสบียงแต่อย่างใด โดยจะใช้เวลาล่องแก่งไม่เกิน 3 ชั่วโมง ระหว่างทางนอกจากสายน้ำก็จะได้เห็นวิวทิวทัศน์สองข้างทาง แต่ส่วนมากแล้วใครไปล่องที่นี่ก็มักจะโฟกัสที่การล่องมากกว่า เพราะด้วยเกาะแก่งที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งสนุก
7. เดินเที่ยวถ้ำโบ้-เขาอีบิด Unseen แห่งใหม่เมืองเพชรบุรี
ถ้ำโบ้เป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของเขาอีบิด ทางขึ้นถ้ำจะอยู่ใกล้กับวัดคีรีวงก์ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี โดยลักษณะการเดินขึ้นเขาแห่งนี้ไม่ไกลมากมายนักเพราะมีการทำทางขึ้นไปอยู่แล้ว แต่ว่าค่อนข้างจะชัน ซึ่งจะมีเชือกให้เกาะขึ้นไปเพื่อไปยังโถงปากถ้ำ
เมื่อถึงจุดแลนด์มาร์คจะเห็นเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าช่วงเวลาดีๆ ก็จะได้เห็นฝูงนกและค้างคาวบินเป็นฉากหลังประกอบ อันที่จริงแล้วถ้ำแห่งนี้คือถ้ำของนกพิราบนั่นเอง ซึ่งบนเพดานถ้ำจะพบปล่องที่ทะลุออกไปด้านนอกหลายจุด ทำให้มีแสงลอดเข้ามา ฉากด้านหลังเป็นท้องทุ่งนาและภูเขา เป็นวิวที่น่าประทับใจ ถ่ายรูปแสงสวยเชียว
8. จุดถ่ายรูปแห่งใหม่ใกล้กรุงเทพฯ
สำหรับใครที่ไม่อยากทำกิจกรรมอะไรเน้นดูและกิน เรามีสองสถานที่แนะนำซึ่งก็น่าจะยังคงไปได้ ไม่ต้องจอง
ที่แรกคือ Lighting Art Museum & Balloon Garden in Thailand ที่พัทยา แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ชลบุรี โดยที่นี่มีหลายโซนจัดให้ถ่ายรูปได้อย่างจุใจ ตามธีมต่างๆ แสงสีจัดเต็มไม่ต้องไปไกล แถมโซนด้านนอกยังเป็น Balloon garden ซึ่งตกแต่งด้วยบอลลูนสีสันสดใส ถ่ายรูปสนุกแน่นอนเมื่อเทียบกับค่าเข้าแค่เพียง 200 บาท
แห่งที่สองเดี๋ยวนี้คนฮิต Skywalk ก็เลยอยากจะแนะนำอีกสักแห่งนั่นคือที่กาญจนบุรี แลนด์มาร์กใหม่แห่งใหม่ ที่จะเห็นจุดชมวิวแม่น้ำสองสีริมแม่น้ำแคว สวยงามอลังการด้วยทางเดินความยาวกว่า 150 เมตร พื้นด้านล่างเป็นกระจก ทอดตัวยาวไปตามริมแม่น้ำแคว เอาเป็นว่าถ่ายช่วงไหนก็ได้เห็นแม่น้ำแควเป็นฉากหลัง
แห่งสุดท้ายสำหรับสายชิลก็คือการนั่งเรือกอนโดล่าที่บ้านสลักคอก เกาะช้าง ที่ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของคนกับป่าชายเลนสองฟากฝั่งที่มีพื้นที่กว่า 500 ไร่ ขณะที่นั่งไปก็สดชื่นไป แถมชุดของพี่ที่มาพายให้ หรือเรือก็สวยราชนิกูล ใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที ปล่อยกายปล่อยใจจอยๆ จ้า