5 หนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่าน (ตอนแรก)
การศึกษาให้รู้อย่างถูกต้องถ่องแท้ว่า พระพุทธศาสนาที่แท้มีเนื้อหาสาระว่าอย่างไร คือ วิธีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยเหตุนั้น ในบทความนี้ จึงขอแนะนำหนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่านเป็นเบื้องต้นสัก 5 เรื่อง
การศึกษาให้รู้อย่างถูกต้องถ่องแท้ว่า พระพุทธศาสนาที่แท้มีเนื้อหาสาระว่าอย่างไร คือ วิธีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยเหตุนั้น ในบทความนี้ จึงขอแนะนำหนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่านเป็นเบื้องต้นสัก 5 เรื่อง
เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองไทยของเราในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้ มีการนำเอาทัศนคติ ความคิด ความเชื่อส่วนบุคคล มาปลอมปนลงไปในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็อ้างว่า นั่นเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ จนเป็นเหตุให้มีผู้หลงเชื่อมากมาย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางทั้งแก่ตน แก่สังคม และแก่สถาบันศาสนา การปล่อยให้สภาพเช่นนี้ ยังคงดำรงอยู่ต่อไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อวิถีชีวิตของบุคคล สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว ดังนั้น เราจึงควรร่วมมือกัน นำเสนอพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ให้คนไทยได้รู้จักกันอย่างทั่วถึง เพื่อร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้พระพุทธศาสนาเสื่อมทรุดไปมากกว่านี้ และขณะเดียวกัน ก็เป็นการช่วยกันฟื้นฟูเนื้อหาสาระที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมาสู่สังคมไทยอย่างยั่งยืนสืบต่อไป
การศึกษาให้รู้อย่างถูกต้องถ่องแท้ว่า พระพุทธศาสนาที่แท้มีเนื้อหาสาระว่าอย่างไร คือ วิธีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยเหตุนั้น ในบทความนี้ จึงขอแนะนำหนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่านเป็นเบื้องต้นสัก 5 เรื่อง ดังต่อไปนี้ (หนังสือทุกเล่ม สามารถหาซื้อตามร้านหนังสือชั้นนำ หรือตามห้องสมุดทั่วไป)
1. พระไตรปิฎก
พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ที่ประมวลหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้อย่างเป็นระบบ ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด จนถึงขนาดที่กล่าวได้ว่า ตัวคัมภีร์พระไตรปิฎกเองมีสถานะเป็นดังหนึ่งองค์พระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ทั้งนี้เพราะก่อนแต่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า “เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว พระธรรมและวินัยที่เราได้แสดงและบัญญัติเอาไว้ จักเป็นศาสดาของชาวพุทธสืบต่อไป”
ในเมื่อพระธรรมวินัยถูกประมวลไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก ดังนั้น คัมภีร์พระไตรปิฎก จึงเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่เราชาวพุทธสามารถศึกษา ค้นคว้าหาแก่นธรรมด้วยตัวเองได้ทุกเมื่อ สงสัยเรื่องใดก็สามารถเปิดขึ้นมาศึกษาหาความกระจ่างแจ้งได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องผ่านการตีความหรืออธิบายของผู้อื่น การศึกษาพระพุทธศาสนาโดยตรงจากคัมภีร์พระไตรปิฎก จึงเป็นวิธีเข้าถึงพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุด ทั้งยังสามารถป้องกันความเข้าใจผิด วิปลาต คลาดเคลื่อนจากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดเช่นกัน
วรรคทองของหนังสือ
พระไตรปิฎกมีหลักธรรมคำสอนมากมาย ที่แม้เวลาจะผ่านไปอย่างไร ก็ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ เช่น คำสอนเรื่อง “ท่าทีในการบริโภคข่าวสารข้อมูล” ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร (เล่มที่ 20) ดังต่อไปนี้ จะเห็นว่า มีท่าทีที่เป็นวิทยาศาสตร์และมีประโยชน์อย่างยิ่งในยุคข้อมูลสารข้อมูลเช่นทุกวันนี้
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการสืบๆกันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา/คัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะสองคล้องกับทิฐิของตน
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
ต่อเมื่อใดรู้ เข้าใจ ด้วยตนเองว่า ธรรม/ข้อมูล เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นสิ่งที่ดี มีโทษ หรือ มีคุณ เป็นต้น จึงควรปฏิเสธ หรือยอมรับ...”
2. พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
คัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นแหล่งประมวลพระธรรมวินัยหรือคำสั่งสอนที่สมบูรณ์ที่สุดของพระพุทธเจ้านั้น เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวพุทธว่า มีเนื้อหามากเป็นอเนกอนันต์ หากไม่มีความสนใจใฝ่รู้จริงๆ แล้ว ก็เป็นการยากที่คนธรรมดาจะศึกษาให้ทั่วถึงได้ ด้วยเหตุที่พระไตรปิฎกมีเนื้อหามากนี่เอง อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ (เปรียญธรรม 9 ประโยค ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดร่วมยุคกับท่านพุทธทาสภิกขุ) ซึ่งมีความปรารถนาที่จะให้ชาวพุทธได้เรียนรู้ธรรมะจากพระไตรปิฎกโดยตรง จึงได้ใช้ความเพียรอย่างยิ่งยวดจัดทำพระไตรปิฎก “ฉบับสำหรับประชาชน” โดยย่อพระไตรปิฎกจาก 45 เล่ม ให้เหลือเพียง 1 เล่ม และนับแต่นั้นเป็นต้นมา คนไทยจึงได้อ่านพระไตรปิฎกที่เนื้อหาน้อยลง แต่ทว่ากลับยังคงอุดมด้วยแก่นสารอย่างครบถ้วนเหมือนเดิม ทั้งภาษาก็อ่านง่าย ไพเราะ ใครก็ตามที่อยากศึกษาพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎกโดยตรง แต่ประหวั่นพรั่นพรึงต่อเนื้อหาอันมากมายมหาศาล การเริ่มต้นอ่านพระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน จึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
วรรคทองของหนังสือ
อะไรคือแก่นพุทธศาสน์ ?
1. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเสมือนกิ่งไม้ใบไม้
2. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
3. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเสมือนเปลือกไม้
4. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเสมือนกะพี้ไม้
5. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ เปรียบเสมือนแก่นไม้
(หน้า 50)
3.คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา
ในวรรณกรรมเรื่อง “กามนิต-วาสิฏฐี” ตัวเอกของเรื่อง คือ กามนิต มีความปรารถนาจะเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อรับฟังคำสอนสักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ครั้นได้พบพระพุทธองค์จริงๆ เขากลับไม่รู้จักว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร ในที่สุดก็จึงเดินจากไปอย่างผิดหวัง ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็คงไม่ต่างอะไรกับกามนิตหนุ่มที่บอกตัวเองว่า เป็นชาวพุทธ แต่ทว่าไม่รู้จัก “โฉมหน้าอันแท้จริง” ของพุทธศาสนา ผลก็คือ เขาได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนาน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ในหนังสือชื่อ “คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา” อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ปราชญ์ผู้เป็นเลิศทางด้านพระพุทธศาสนา ได้ชี้ให้เราเห็นว่า พระพุทธศาสนาที่แท้นั้น มีลักษณะเช่นไร มีจุดเด่น จุดเน้น จุดหมายอยู่ตรงไหน และจะนำเอาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ จะทำให้เรารู้จักพระพุทธศาสนาในภาพรวมถึงขั้นที่กล่าวได้ว่า เหมือนกับเรารู้จักลายมือของตัวเองอย่างละเอียดเลยทีเดียว
วรรคทองของหนังสือ
“แม้จะตัดความเชื่อในเรื่องฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ออกหมด ก็ไม่ทำให้พระพุทธศาสนากระทบกระเทือนอะไรแม้แต่น้อย เพราะพระพุทธศาสนามิได้มีรากฐานอยู่บนเรื่องฤทธิ์เดชปาฎิหาริย์ หากอยู่ที่เหตุผลและคุณงามความดีที่พิจารณาเห็นได้จริง ๆ” (หน้า 34)
“ถ้าบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการรดน้ำ (ศักดิ์สิทธิ์) แล้ว, กบ เต่า งู จระเข้ และสัตว์น้ำทั้งปวง ก็จักไปสวรรค์ได้เป็นแน่...” (พุทธพจน์) (หน้า 202)
“เราเอาน้ำมันเทลงไปในน้ำแล้วจะอ้อนวอนให้จมลงอย่างไร น้ำมันก็จะคงลอยขึ้นเหนือน้ำเสมอไป เราทิ้งก้อนหินลงในน้ำ แม้จะอ้อนวอนให้ลอยอย่างไร มันก็ไม่ลอยขึ้น คงจมลงโดยส่วนเดียว ฉันใด การทำความดี ย่อมเป็นเหตุให้เฟื่องฟู การทำความชั่ว ย่อมเป็นเหตุให้ล่มจม เมื่อทำแล้ว จะใช้วิธีอ้อนวอนให้เกิดผลตรงกันข้าม ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันนั้น...” (พุทธพจน์) (หน้า 348)
***ติดตามอีก 2 เล่มได้ในสัปดาห์หน้า***