สู่ถ้ำโพธิสัตว์‘ตั๊กม้อ’ปฏิสันถารกับพระจีน(ตอน ๓)
ปุจฉา : กราบนมัสการ หลวงพ่อพระอาจารย์อารยะวังโส
ปุจฉา : กราบนมัสการ หลวงพ่อพระอาจารย์อารยะวังโส
โดย..พระอาจารย์อารยะวังโส
ตามที่ทราบว่า หลวงพ่อได้เดินทางไปเจริญสมณธรรมที่ถ้ำปรมาจารย์ตั๊กม้อ วัดเส้าหลิน ประเทศจีน จึงใคร่ขออาราธนาให้เล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ เพื่อเป็นแนวทางศึกษาปฏิบัติของสาธุชน และจะได้ร่วมอนุโมทนาในการบำเพ็ญกุศลครั้งนี้ด้วย
เคารพอย่างสูง
อารีย์ เตชะหรูวิจิตร
ผู้พิพากษา หัวหน้าคณะศาลอุทธรณ์กลาง
วิสัชนา : นอกเหนือจากการมุ่งเน้นการเจริญภาวนา หรือเรียกว่า การทำฌาน ของชาวจีนแล้ว ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อยังมีอุบายวิธีในการบริหารธาตุขันธ์ให้มีอายุยืน เรียกว่า การต่ออายุธาตุขันธ์ ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นตำรับของวิชากำลังภายใน หรือกังฟูในปัจจุบัน จนผู้คนทั่วโลกเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความจริง เมื่อนึกถึงวัดเส้าหลิน หรือเมื่อนึกถึงพระสงฆ์จีน แทนที่จะมองเห็นบทบาทของพระนักปฏิบัติแบบพระป่า หรืออรัญญวาสี ก็กลายเป็นนึกถึงจอมยุทธ์กำลังภายใน ด้วยอิทธิพลการเผยแพร่ของภาพยนตร์หนังจีนกำลังภายในที่โด่งดังไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่พระผู้ใหญ่ในประเทศจีน โดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญที่สุดของประเทศจีน ได้พยายามรณรงค์โดยการวางแนวปฏิบัติให้พระสงฆ์ในสังกัด มุ่งเน้นการทำฌาน (จิตตภาวนา) มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งกังฟู (กำลังภายใน) แต่ขอให้เป็นลักษณะฌาน นำหน้ากังฟู หรือการเจริญจิตตภาวนา (ฌาน) นำกำลังภายใน...
ในวัดเส้าหลิน จึงมีห้องทำฌานที่พระสงฆ์จะต้องเข้าพร้อมกัน มีการฉันน้ำชาในห้องฌาน มีวิธีการปฏิบัติที่น่าสนใจ ซึ่งอาตมาได้ไปทดลองเข้าห้องฌาน พร้อมพระจีนเกือบทุกวัน ในภาคกลางวัน เพื่อศึกษาถึงแบบแผนปฏิบัติของพุทธศาสนามหายาน ตามแบบฉบับของท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ และในภาคค่ำ อาตมาต้องเดินขึ้นยอดเขาซงซาน เพื่อไปเจริญภาวนาให้ครบ ๙ คืน ณ ถ้ำตั๊กม้อ (โพธิสัตว์) ซึ่งกล่าวเล่ากันมาว่า ปรมาจารย์ตั๊กม้อ เจริญภาวนาอยู่ในถ้ำดังกล่าว โดยพำนักอยู่บนยอดเขาซงซานถึง ๙ ปี มุ่งเน้นการเพียรภาวนา จนมีเงารูปของท่านฉายปรากฏอยู่บนแผ่นหินผนังถ้ำ ซึ่งปัจจุบันได้แกะแผ่นหินดังกล่าวไปเก็บไว้ในวิหารของวัดเส้าหลิน สามารถไปขอชมแผ่นหินดังกล่าวได้...
จากการใช้ชีวิตเจริญภาวนาอยู่ในหุบเขาซงซานกลางคืนอยู่ในถ้ำ กลางวันอยู่ในวัดเส้าหลินอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่สนใจของพระสงฆ์จีน โดยเฉพาะ ๙ คืน โดยลำพัง ในถ้ำตั๊กม้อ ซึ่งบนยอดเขาซงซานอากาศหนาวเย็นมาก โดยปกติฤดูหนาวมีหิมะปกคลุมหนาเป็นคืบ ก็คงเหมือนกับในภาพยนตร์ทุกประการ
อาตมาขบฉัน และใช้ชีวิตอย่างปกติตามวิสัยพระป่า เพื่อเรียนรู้ถึงวิธีการปฏิบัติของปรมาจารย์ตั๊กม้อ ก็ให้นึกถึงแนววิธีการปฏิบัติของพระมหากัสสปะเถรเจ้า ในพุทธกาล หรือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต้นฉบับพระป่ากรรมฐานของประเทศไทย ซึ่งคงเป็นวัตรอันเดียวกัน ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จึงให้มีความรู้สึกขอบคุณแทนพระสงฆ์จีน และพุทธศาสนิกชนในประเทศจีนในยุคนั้น ที่ได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติตามแนวธรรมปฏิบัติที่เป็นไปตามแบบแผนในพระพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม การที่จะดำรงการสืบสายธรรมแบบดั้งเดิมนั้นออกจะเป็นเรื่องที่ยาก ด้วยกฎเกณฑ์ทางสภาพธรรมชาติ ที่วิถีแห่งความเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามปกติ เราจึงเห็นความสับสนพอสมควรกับพุทธศาสนาในทุกประเทศ เมื่อต้องผสมผสานกับความเชื่อหลากหลายของมนุษย์ ผู้พกพาความคิดมาตั้งแต่เกิด... ดังนั้นปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติตามแบบแผนพุทธศาสนาดั้งเดิมจึงเกิดขึ้น ในทุกถิ่นฐานของศาสนจักร ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย... การขวนขวายแสวงหาครูบาอาจารย์ที่รู้จริง จึงเป็นเรื่องสำคัญดังที่เกิดขึ้นในประเทศจีนขณะนี้ เมื่อพุทธศาสนาในประเทศจีนต้องการฟื้นฟูแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง และได้ผลสัมฤทธิ์จริงๆ ตามเป้าหมาย จึงไม่แปลกที่เพียงแค่วันที่ ๒ ของการใช้ชีวิตเจริญภาวนาอยู่ในหุบเขาซงซาน จึงเป็นที่สนใจของคณะสงฆ์เส้าหลิน โดยอาตมาได้รับนิมนต์มาปุจฉาวิสัชนา กับพระสงฆ์จีน ซึ่งมีเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินในฐานะรองจากสังฆนายกคณะสงฆ์ ประเทศจีน มานั่งร่วมอยู่ด้วย เพื่อปุจฉาวิสัชนา อันเป็นแบบฉบับที่พุทธมหายานถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
อาตมาจึงขอนำเสนอ ปุจฉาวิสัชนา ส่วนหนึ่ง เพื่อประกอบการศึกษาของสาธุชนทั้งหลาย อันจะได้ถึงประโยชน์แห่งความรู้ในธรรม และหากมีโอกาสและเวลาก็จะทำปุจฉาวิสัชนา ในส่วนอื่นๆ พร้อมมุมมองข้อคิด ที่น่าสนใจ มานำเสนอตีพิมพ์ลงใน “ธรรมส่องโลก” นี้ สำหรับในตอนนี้ขอนำเสนอปุจฉาวิสัชนา ระหว่างพระอาจารย์อารยะวังโส กับคณะพระสงฆ์จีนในวัดเส้าหลินประมาณ ๒๐ รูป เมื่อ ๒๒ ก.พ. ๒๕๕๔ ณ ห้องฌาน วัดเส้าหลิน ขอเชิญติดตาม...
อ่านต่อฉบับพรุ่งนี้