posttoday

“กมธ.ป.ป.ช.” เผย ทีโออาร์ตั้งศูนย์ 191 มูลค่า 8 พันล้าน รั่วจริง

14 ธันวาคม 2564

“อนุดิษฐ์” กมธ.ป.ป.ช. สภาฯ ไล่เบี้ยโครงการศูนย์ 191 มูลค่า 8 พันล้านบาท ของ สตช.ที่ล้มประมูลมาแล้ว 2 ครั้ง พบข้อมูล ทีโออาร์ รั่วก่อนประกาศตามที่ถูกร้องมาจริง ส่อเอื้อประโยชน์เอกชนบางราย แนะ ผบ.ตร.เร่งดำเนินการให้โปร่งใส

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 64 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบในโครงการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน (ศูนย์ 191) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มูลค่าเกือบ 8 พันล้านบาทที่มีผู้ร้องเรียนว่า การดำเนินการส่อไปทางทุจริตว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช.ได้มอบหมายให้ตนเป็น กมธ.ผู้รับผิดชอบ และเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา กมธ.ป.ป.ช.ได้เชิญคณะกรรมการจัดทำเอกสารขอบเขตงาน (คณะกรรมการ ทีโออาร์) ของ สตช. ที่มีส่วนสำคัญในการจัดทำเอกสารตั้งแต่ปี 2561-2564 ทั้ง 2 คณะ มาให้ถ้อยคำ รวมถึงปัญหาข้อขัดข้องของการดำเนินการโครงการศูนย์ 191 โดยกรรมการทั้ง 2 คณะได้ชี้แจงว่า โครงการฯมีความซับซ้อนทางเทคโนโลยี การสื่อสาร และต้องบูรณาการความต้องการจากหลายภาคส่วน โดยโครงการนี้มีการล้มประมูลโครงการไปแล้ว 2 ครั้ง และขณะนี้สถานะของโครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำ ทีโออาร์ เพื่อการจัดซื้อจัดจ้างในครั้งที่ 3

“ผู้ร้องเรียนได้กล่าวหาว่า มีการนำข้อมูลสำคัญใน ทีโออาร์ ซึ่งถือเป็นความลับทางราชการไปเปิดเผยให้บริษัทที่มีตัวย่อว่า SK ทราบล่วงหน้าก่อนประกาศต่อสาธารณชนเพื่อเอื้อประโยชน์และทำให้ได้เปรียบผู้แข่งขันรายอื่น ซึ่ง กมธ.ป.ป.ช.ตรวจสอบเบื้องต้น เชื่อว่ามีข้อมูลรั่วไหลก่อนการประกาศ ทีโออาร์ จริง”

น.อ.อนุดิษฐ์ เปิดเผยด้วยว่า ผู้ชี้แจงจาก สตช.ยืนยันว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้สั่งการให้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นแล้ว โดยแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุง ทีโออาร์ ชุดใหม่ เพื่อจัดทำ ทีโออาร์ สำหรับการประมูลครั้งที่ 3 โดยคณะกรรมการ ทีโออาร์ ชุดใหม่ได้จัดให้มีการประชุมครั้งแรกไปในช่วงบ่าย ของวันที่ 9 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา ซึ่ง กมธ.ป.ป.ช.ได้ฝากข้อเสนอแนะไปยัง ผบ.ตร.ให้กำชับถึงการรักษาความลับของ ทีโออาร์ ที่ต้องไม่รั่วไหลก่อนการเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะอาจนำไปสู่การล็อคสเปค และเอื้อประโยชน์แก่เอกชนรายใดรายหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายก็คงไม่พ้นการล้มประมูล และทำให้การจัดตั้งศูนย์ 191 ต้องล่าช้าออกไปเรื่อยๆ และทำให้ประชาชนต้องมีความเสี่ยงในสวัสดิภาพของชีวิตและทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น

“แม้ สตช. จะยืนยันว่ามีความตั้งใจและดำเนินการด้วยความรอบคอบก็ตาม แต่ต้องถือว่ามีความล่าช้า และทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการเสียประโยชน์ กมธ.ป.ป.ช.จึงได้ฝากข้อเสนอแนะไปยัง ผบ.ตร.ให้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ หรือศูนย์ 191 ให้มีมาตรฐานสากล และจัดซื้อจัดจ้างด้วยความโปร่งใส โดยเฉพาะ TOR ที่ต้องไม่รั่วไหลก่อนการเผยแพร่ต่อสาธารณะ”

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่อว่า หากจะดำเนินการโครงการนี้ให้สำเร็จ สตช.ต้องเชิญหน่วยงานในระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทุกหน่วย ทั้งในส่วน รับแจ้งเหตุ สั่งการ เผชิญเหตุ ควบคุม ติดตาม บันทึก ตรวจสอบ และการประมวลผล ซึ่งอาจหมายถึง สตช. สำนักงานแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์บริการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพฯ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุฉุกเฉิน วิบัติภัย หน่วยงานความมั่นคง และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง มาร่วมงานกันให้ครบวงจร เนื่องจากโครงการจัดตั้งศูนย์ 191 เป็นศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินระดับแห่งชาติ เป็นโครงการที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตและผลประโยชน์ของประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

“ในการจัดทำ TOR ครั้งใหม่ที่อยู่ในระหว่างการจัดทำ สมควรให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมมากขึ้น และควรใช้หน่วยงานของรัฐที่มีความรู้ความสามารถ และเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารจัดการเทคโนโลยี ตลอดจนมีโครงข่ายสื่อสารเป็นผู้ดูแลระบบงานเข้ามามีส่วนร่วมด้วย” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว