posttoday

เตือนสติชาวพุทธอย่าตกเป็นเหยื่อของการทำบุญ

26 กุมภาพันธ์ 2558

วงเสวนาร่วมเตือนสติชาวพุทธ ทำบุญอย่างมีสติเพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนา ไม่ใช่ตกเป็นเหยื่อเพราะหวังร่ำรวย

วงเสวนาร่วมเตือนสติชาวพุทธ ทำบุญอย่างมีสติเพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนา ไม่ใช่ตกเป็นเหยื่อเพราะหวังร่ำรวย

หมายเหตุ: เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ภาควิชาศิลปะการแสดง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จัดงานเสวนาเรื่อง "การบิดเบือนความเชื่อทางพุทธศาสนา พุทธพาณิชย์ ผิดหรือถูก"เพื่อปลุกจิตสำนึกและสร้างความเข้าใจของประชาชน ว่าการทำบุญที่แท้จริงคืออะไร โดยมีพระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ , ภิกษุณีธัมมนันทา และ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) ร่วมเป็นวิทยากรกล่าวบรรยาย
 
พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวว่า การเปลี่ยนความเชื่อของคนนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดทำบุญเพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนา แต่ทำทุกอย่างเพราะเชื่อว่าญาติโยมที่เสียชีวิตไปแล้วจะได้รับส่วนบุญกุลศลในอีกภพหนึ่ง และต้องการให้การถวายเงินซึ่งทำได้ง่ายเป็นการสะสมบุญในชาติต่อไป ซึ่งทุกวันนี้พระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาต เวลามีญาติโยมตักบาตรให้จะต้องสวดมนต์ให้ยาวขึ้น หากไม่ทำจะถูกโยมต่อว่าได้ อีกทั้งทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า พระส่วนใหญ่เดินบิณฑบาตตามตลาด หรือเลือกแต่หมู่บ้านใหญ่ๆมีรถรับส่ง ซึ่งความจริงแล้วทำไม่ได้ เพราะพระต้องออกบิณฑบาตได้ทุกที่ ตามตรอกซอกซอยก็ต้องไป

“มีหลายวัดไม่กล้าให้ตรวจสอบบัญชีเงินของวัด ผิดจากวัดสวนแก้วสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด แล้วจะรู้ว่าที่วัดแทบไม่มีเงิน เมื่อไหร่ที่เงินในบัญชีถึงระดับหนึ่ง จะถูกเบิกจ่ายออกมาเพื่อบริจาคเป็นการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนทั้งหมด ไม่มีการสะสมจนถึงร้อยล้าน พันล้าน”  

พระพยอม กล่าวอีกว่า พุทธศาสนิกชนต้องมีสติ อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ เช่นการที่มีการโกหกว่า จะจัดงานบิณฑบาต พระมาเดินจำนวนล้านรูป มันจะเป็นจริงได้อย่างไรในเมื่อจำนวนพระสงฆ์ที่มีในประเทศไทย มีเพียง 3 แสนรูป เท่านั้น ดังนั้นคนต้องยึดถือข้อเท็จจริง ต้องดูให้ดีว่าพระรูปใด อวดอุตริ อย่าหลงเชื่อง่าย

ทั้งนี้ เรื่องพุทธพาณิชย์ เป็นการขายของเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนความเชื่อใหม่ ไม่จำเป็นต้องนำสิ่งของมีค่ามาถวายวัด หรือการถวายผ้าไตรในงานศพ ก็ถือว่าเกินความจำเป็น เพราะพระมีผ้าไตรได้เพียง 2 ผืน ทุกวันนี้ผ้าไตรล้นวัดหมดแล้ว ส่วนไสยพาณิชย์ เป็นเรื่องของการหลอกลวงทั้งหมด ไม่มีอะไรจริง สิ่งที่พุทธศาสนิกชน ต้องกระทำคือ การภาวนาจิตซึ่งไม่ใช่แค่การหลับตาอย่างเดียว แต่ความมีสติ รู้สึกพอใจ เป็นการภาวนาในทุกอิริยาบถ และจะได้รับประโยชน์สุขจากการภาวนาอย่างแท้จริง

ภิกษุณีธัมมนันทา กล่าวว่า การนำเงินเข้าวัดเป็นการทำนุบำรุงศาสนานั้น เป็นการทำให้คนบ้าบุญ พระก็จะคิดหาเรื่องให้คนเข้าวัดทำบุญ การสร้างอุโบสถเพื่อทำพิธีสังฆกรรม ความจริงพิธีดังกล่าวใช้พระเพียง 21 รูปเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องสร้างอุโบสถให้ใหญ่โต เวลานี้สังคมกำลังบ้าวัตถุนิยม คนจึงพยายามนำของดีของเลิศมาถวายพระ ซึ่งมันไม่ได้เหมาะสมกับสมณเพศเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้น ญาติโยมต้องพิจารณาว่าของที่จะนำไปถวาย มีความจำเป็นอย่างแท้จริงหรือไม่ ต้องจำไว้ว่าเราเข้ามาในโบสถ์ เข้าไปเพื่อทำบุญ แม้เพียงเงินเล็กน้อยก็ได้บุญ ไม่จำเป็นต้องถวาย 5,000 ล้านบาท อย่าตกเป็นเหยื่อของการทำบุญ  

“ผู้คนกำลังเสพติดถวายเงิน ขอพรให้ร่ำให้รวย พระก็ตามใจญาติโยม ทำให้พระก็อยากรวยไปด้วย ดังนั้นศาสนาจึงไปผิดทิศผิดทางอย่างที่เห็นอย่างไรก็ตาม ถ้าอะไรที่ผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องปรับปรุงและเสนอแนะ ให้ถูกต้อง ปัญหาหลายอย่างเกิดจากตัวพระ และพุทธิศาสนิกชน ที่ต้องการแสวงหาความสุข มุ่งเน้นซื้อวัตถุธรรมเพื่อให้สบายใจ เราต้องอยู่ในกระบวนการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้แจ้ง จึงต้องชั่งน้ำหนักให้สุขใจมากกว่าสุขกาย ดังนั้นชาวพุทธควรตั้งหลักใหม่ ให้เข้าใจเรื่องคำสอนของพรพุทธเจ้า ที่เน้นย้ำเรื่องของความจริง พูดแต่ความจริงพิสูจน์ได้ไม่ใช่บิดเบือนศาสนา” ภิกษุณีธัมมนันทา กล่าว

ขณะที่ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักเขียนและนักคิดอิสระ กล่าวว่า ความเชื่อพื้นฐานของศาสนาพุทธคือ มนุษย์สามารถเปลี่ยนความโลภให้เป็นการให้ เปลี่ยนความรักเป็นรู้แจ้งเห็นจริง เราทุกคนสามารถเข้าถึงพุทธภาวะได้โดยไม่ต้องห่มผ้าเหลือง การทำบุญเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการเข้าถึงศาสนา เพื่อทำนุบำรุงให้ศาสนาคงไว้ในประเทศ  

ก่อนนี้พระสงฆ์ อยู่ได้ด้วยการออกบิณฑบาตอย่างเดียว อยู่ใต้ต้นไม้ ยาก็นำปัสสาวะมาผสม แต่ทุกวันนี้ พวกที่ขายสังฆภัณฑ์แถวเสาชิงช้าหรือ พุทธพาณิชย์ พวกนี้ทำเสียหายหมด บรรจุของที่ไม่จำเป็นให้ผู้บริโภคซื้อ หลอกลวง ซึ่งของเหล่านั้นก็สะสมอยู่ที่วัด

สำหรับสังฆทาน เมื่อก่อนวัสดุที่ใช้ทำจากกระทงไม่ใช่ภาชนะที่ใช้แล้ว แต่ทุกวันนี้เป็นกระป๋อง ถุงพลาสติก สกปรกวัดไปหมด พระเองก็ไม่สอนคน แล้วจะให้คนเปลี่ยนความโลภเป็นการให้ทานได้อย่างไร สาระความเชื่อบิดเบือนไปเรื่อย ด้วยการอ้างว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ทุกวันนี้ทุนนิยม บอกว่าคุณจะต้องรวยถึงจะได้บุญ เปิดช่องให้วัดธรรมกายเป็นแบบฉบับของทุนนิยมสมบูรณ์ มีหลายอย่างที่พระทำโดยไม่ใช่หน้าที่ของพระ คนที่บริโภคทุนนิยมแบบสุดๆก็คือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดธรรมกาย ด้วยการโยงการเมืองเข้าในวัด เห็นอย่างนี้พระเป็นหัวคะแนนที่แพงที่สุด ดังนั้นพระต้องรู้เท่าทันการเมือง สังคม

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพัฒนาเรื่องการศึกษา เพราะคนส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังนับถือผี นับถือไสยศาสตร์ ทุกวันนี้พระสวดมนต์เพราะหาเงิน ถ้าพระปล่อยวางคนจะหันกลับมานับถือ แต่เวลานี้เหลือแล้ว คนต้องการใส่บาตรเพราะต้องการถูกหวย เลอะเทอะ เสียพื้นฐานไปหมดแล้ว ศาสนาพุทธไม่มอมเมาด้วยความเชื่อ ชาติหน้ามีชาติหลังมีพิสูจน์ไม่ได้ แต่ศาสนาพุทธบอกแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้”สุลักษณ์ กล่าว

สุลักษณ์ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่เข้าวัดเพราะเป็นที่สงบ เป็นที่แตกต่างจากสถานที่ข้างนอก พวกคุณหญิงคุณนายทุกวันนี้เข้าวัดป่า เข้าห้องน้ำธรรมดาไม่ได้ ต้องไปสร้างอะไรต่อมิอะไร เป็นปัญหาขึ้นอีก ดังนั้นวัดต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่ ต้องยึดศีลเป็นหลัก ลดช่องว่างคนรวย คนจน ลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก มิฉะนั้นจะกลายเป็นการส่งเสริมให้วัดธรรมกายร่ำรวยโดยไม่มีเหตุผล อาศัยลาภและยศ หลอกคนโง่นิมนต์พระไปสวดถวายปัจจัย 1 แสนบาท ทั้งหมดเป็นเรื่องทุกขัง เวลานี้พระรุ่นใหม่มุ่งแต่อวดอุตริ

"แม้ทุกวันนี้ศานาจะเข้าขั้นวิกฤต แต่เชื่อว่าในอนาคตจะดีขึ้นได้ เพราะธรรมะย่อมชนะอธรรม รวมถึงต้องมีการจัดเก็บภาษีวัด ตรวจสอบบัญชีเงินให้โปร่งใสจะทำให้วัดสะอาดมากขึ้น"สุลักษณ์กล่าว