ธีระชน แจงกมธ.ยันต่อสัญญาBTSโปร่งใส
ธีระชน แจง กมธ.คมนาคม วุฒิฯ ยันขยายสัญญา บีทีเอสซี ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า คุมราคาเริ่มต้น 15 บาท
ธีระชน แจง กมธ.คมนาคม วุฒิฯ ยันขยายสัญญา บีทีเอสซี ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า คุมราคาเริ่มต้น 15 บาท
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้เข้าชี้แจงกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภากรณีกทม.มอบหมายให้ บริษัทกรุงเทพธนาคม ต่อสัญญากับบริษัท บีทีเอสซี โดยยืนยันว่า การทำสัญญา 30 ปีดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการขยายสัมปทานการเดินรถให้กับบริษัทบีทีเอสซี แต่เป็นการทำสัญญาจ้างอีกฉบับเพื่อให้บริษัทบีทีเอสซี เข้ามาดำเนินการในส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งกทม. เป็นผู้ดูแล ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีลม ส่วนต่อขยายตากสิน-บางหว้า ช่วงที่ 1 (สะพานตากสิน-แยกตากสิน) ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร, โครงการรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ส่วนต่อขยายสถานีอ่อนนุช-แบริ่ง ระยะทาง 5.25 กิโลเมตร และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีลม ส่วนต่อขยายตากสิน-เพชรเกษม ระยะทาง 5.3 กิโลเมตร โดยระยะเวลาทำสัญญาคือ 30 ปี โดยสัญญาจะสิ้นสุดประมาณปี 2585 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสสายหลักที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ธีระชน
นายธีระชน กล่าวว่า กทม.ได้ใช้หลักคิดที่ว่าหากมีการแยกทำสัญญากับโครงการส่วนต่อขยาย จะเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 1.2หมื่นล้านบาท และเกิดความไม่คุ้มค่าการลงทุน อีกทั้งภาระทางการเงิน กว่า 1.2หมื่นล้านจะตกมาอยู่ที่กทม. เพราะกทม. ต้องนำเงินงบประมาณไปอุดหนุนในส่วนความไม่คุ้มทุนและขาดทุนที่เกิดขึ้น ดังนั้นทางกทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้หาวิธีแก้ปัญหา โดยใช้เวลาศึกษากว่า 1 ปีเพื่อให้เกิดความรอบคอบ จึงกลายเป็นการรวมสัญญาแบบบูรณาการ เพื่อลดความซ้ำซ้อน ประหยัด และสะดวกกับการบริหารจัดการ
นายธีระชน ได้ตอบคำถามของกรรมาธิการที่ถามว่าทำไมถึงต้องเร่งทำสัญญาในช่วงนี้ ว่า เพราะทางกทม. เล็งเหตุถึงความคุ้มค่าต่อการบริหารจัดการการเดินรถ รวมถึงการทำสัญญาเป็นระยะเวลา 30 ปีจะสร้างความคุ้มค่าการลงทุน และประหยัดภาษีของคนกรุงเทพ มากถึง 6,000 ล้านบาท และจะสามารถดูแลราคาค่าโดยสาร อยู่ที่เริ่มต้น 15 บาทได้ แต่หากรอเวลาให้สัญญาหมดอายุในอีกหลายปีข้างหน้า อาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการขาดช่วงการบริหารได้ ทั้งนี้การทำสัญญาระยะยาว 30 ปี จะทำให้เกิดความมั่นใจกับคู่สัญญา และจะส่งผลดีต่อการดูแลรักษาตัวรถไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงช่วงที่ต้องมอบทรัยพ์สินให้กับกทม. ภายหลังจากที่หมดสัญญาสัมปทาน
“ผมยืนยันว่าการทำสัญญาดังกล่าวนั้นไม่ได้เป็นการปิดประตูตายที่ไม่ให้รัฐบาลเข้ามายึดการดำเนินงานส่วนดังกล่าว แต่เป็นการสร้างความชอบธรรมต่อการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชนของกทม.ในอนาคต และเพื่อรับประกันว่าราคาค่าโดยสารเริ่มต้นจะไม่แพงกว่า 15 บาท ทั้งนี้ตามกฎหมายของกทม. ให้สิทธิ์ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่เข้ามากำหนดราคาค่าโดยสารที่เหมาะสมได้ ดังนั้นการทำสัญญาจึงเป็นผลดีเพื่อสร้างเสถียรภาพการบริการ” นายธีระชนกล่าว
ทั้งนี้ ทางกรรมาธิการได้นัดหมายกับกทม. ว่าในวันที่ 7 มิถุนายน จะเข้าไปดูงานการบริหารระบบรถไฟฟ้าของกทม. พร้อมขอลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบการเดินรถในส่วนต่างๆ ที่กทม.รับผิดชอบ อีกทั้งจะขอรับทราบนโยบายต่อการเชื่อมต่อโครงข่ายเดินรถมวลชน เช่น รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถบีอาร์ที ตามที่เคยได้ระบุว่าจะใช้ระบบการเดินทางแบบตั๋วร่วม