posttoday

พระพุทธเจ้าบิณฑบาตรได้บาตรเปล่า

02 กันยายน 2555

หมู่บ้านปัญจสาลคามถือเป็นหมู่บ้านที่ต้องจารึกชื่อไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตแล้วไม่ได้อาหารบิณฑบาตใดๆ

หมู่บ้านปัญจสาลคามถือเป็นหมู่บ้านที่ต้องจารึกชื่อไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตแล้วไม่ได้อาหารบิณฑบาตใดๆ

ทั้งที่คนในหมู่บ้านก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงอุ้มบาตรเปล่าออกมาคือ มีบาตรเปล่าเข้าไปยังไง กลับออกมาก็คงมีบาตรอย่างนั้น

แต่แม้พระพุทธเจ้าจะบิณฑบาตไม่ได้ ก็ไม่มีผลกระทบต่อพระองค์ แม้วันนั้นทั้งวันไม่ได้ฉันอาหาร แต่ก็ทรงอยู่ได้ด้วยอย่างอื่นอยู่แล้ว เช่น ด้วยการเข้าฌานสมาบัติ

พระพุทธเจ้าเป็นถึงพระบรมศาสดาเอกของโลก แต่ทว่าเข้าไปบิณฑบาตในบ้านในเมืองแล้วไม่มีคนใส่บาตรให้เลยสักคนก็กระไร คิดแล้วมันก็แปลกอยู่

ลองคิดดูว่า ถ้าพระเถระ พระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคุณเป็นเจ้าอาวาส มีตำแหน่งทางปกครองสูง ยิ่งเป็นระดับสมเด็จ หรือสังฆราช ออกบิณฑบาต คิดหรือว่าจะไม่มีคนใส่บาตรให้สักคน

ยังไงก็ต้องมีคนนำอาหารมารอใส่บาตรหน้าบ้านอยู่แล้ว ถ้าท่านเหล่านั้นออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตรประจำวันจนชาวบ้านรู้จักและรู้ว่าท่านต้องมาถึงหน้าบ้านของตนเวลานั้นๆ

ทุกวันนี้แม้จะมีพระผู้ใหญ่ เช่น เจ้าอาวาส ตลอดจนผู้มีตำแหน่งทางปกครองอื่นๆ และสมณศักดิ์สูงๆ จะออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตร เช่น พระพุทธเจ้า แต่ก็น้อยมากแทบจะนับรูปได้

นั่นเพราะท่านเหล่านั้นมีลูกศิษย์ซื้อหานำมาถวายตลอด หรือไม่บางท่านก็ให้ลูกศิษย์ซื้อเอง หรือบางท่านอาจคิดว่าตัวเองเป็นพระผู้ใหญ่แล้วคงไม่จำเป็นต้องออกบิณฑบาตก็อาจจะมี

แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแล้วการเสด็จออกบิณฑบาตทุกเช้าถือเป็นกิจวัตรของพระองค์

เห็นได้ว่าครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จไปยังเมืองกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระราชบิดา ตอนเช้าก็ทรงออกไปบิณฑบาตในพระนครพร้อมด้วยหมู่พระสาวก

ครั้นพระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบเรื่องก็ทรงเสียพระทัย ด้วยทรงเห็นว่าการเสด็จพุทธดำเนินโปรดสัตว์ตามถนนหลวงนั้นเป็นการเสื่อมเสีย พระเกียรติยศอันจะทำให้ชาวเมืองดูแคลนว่าเหล่าพระประยูรญาติและพระราชบิดา ตั้งข้อรังเกียจมิได้ให้การอุปถัมภ์บำรุง จึงรีบเสด็จมาทูลไม่ให้พระพุทธเจ้าออกมาบิณฑบาตนอกพระราชวังอีกต่อไป

แต่พระบรมศาสดาทรงอรรถาธิบายว่า การเที่ยวบิณฑบาตเป็นจารีตประเพณีของตถาคตและพระภิกษุสงฆ์ที่สืบสายพุทธวงศ์มาช้านาน

เพราะฉะนั้น การที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านแล้วไม่มีใครใส่บาตรให้สักคน จึงเป็นเรื่องแปลกปนอัศจรรย์ไม่น้อย

แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ ด้วยมีมารตนหนึ่งที่ชอบขัดขวางคนทำความดี โดยเมื่อเห็นใครทำความดีต่างๆ แล้วก็ทนดูไม่ได้ ประหนึ่งรู้สึกเจ็บปวดอย่างแรงจะต้องหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง บางครั้งก็ทำร้าย

มารตนนี้ก็เหมือนกัน คอยกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้าตลอด และครั้งนี้ก็ได้ดลใจชาวบ้านจนไม่มีใครออกมาใส่บาตรพระพุทธเจ้าแม้แต่คนเดียว โดยหวังให้พระพุทธเจ้าเกิดความอับอาย

ความพยายามของมารเป็นผล ไม่มีใครใส่บาตรพระพุทธเจ้า ซึ่งสร้างความสะใจให้มารมากและไม่เพียงแค่นั้นด้วยวิสัยมารก็เข้าไปเฝ้าพูดจาเยาะเย้ยพระพุทธองค์

ความจริงพระพุทธเจ้าทรงรู้ว่ามารดลใจชาวบ้านไม่ให้ออกมาใส่บาตร และพระองค์ก็สามารถทำลายอำนาจหรือการดลใจของมารได้ แต่ไม่ทรงทำ เพราะทรงพระดำริว่า การทำลายการดลใจของมารเพื่ออามิสนั้นไม่สมควรทำอย่างยิ่ง

สมมติ ถ้าพระพุทธองค์ทรงทำมารก็คงหน้าแตกยับเยินและเจ็บปวดรวดร้าวมาก และคนสมัยนี้ที่มีพฤติการณ์แบบมารตนนี้ก็เชื่อว่ามีไม่น้อยที่เห็นคนอื่น”ดีกว่าตนแล้วทนไม่ได้