ถึงจุดจบค้าเสรีโลกแห่ปกป้องตัวเอง

15 มกราคม 2556

แม้บรรดามาตรการจำกัดและควบคุมการค้าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่ามาตรการเปิดตลาดค้าเสรีนับตั้งแต่ปี 2551

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

“แม้บรรดามาตรการจำกัดและควบคุมการค้าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่ามาตรการเปิดตลาดค้าเสรีนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าเริ่มมีแรงกดดันเพื่อปกป้องการค้าของประเทศตัวเองมากขึ้น แต่เรายังไม่มีคลื่นยักษ์สึนามิ หรือการแพร่ระบาดของการกีดกันทางการค้าอย่างหนักเช่นกัน”

ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามครั้งล่าสุดของปาสกาล ลามี ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ในปัจจุบันและกำลังจะหมดวาระในเดือน ส.ค. 2556 นี้ ที่มุ่งสยบความวิตกกังวลของนักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลกต่อปัญหาการกีดกันทางการค้า ซึ่งมีแนวโน้มหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลก พร้อมกับให้หันมาเชื่อมั่นในระบบการค้าของตลาดเสรีที่องค์การการค้าโลกเดินหน้าสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กรอบแนวทางการเจรจารอบโดฮา ตั้งแต่ปี 2544

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าคำพูดข้างต้นจะไม่ส่งผลสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดโลกตามที่ผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอคาดหวังตั้งเป้าไว้ได้มากนัก

เพราะนอกจากความเห็นดังกล่าวจะเป็นการยอมรับกลายๆ ว่า การปกป้องกีดกันทางการค้าทั่วโลกเพิ่มขึ้นจริงแล้ว ยังมีรายงานคำเตือนจากหน่วยงานองค์กรระหว่างประเทศซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวในด้านการค้าโลกอย่างใกล้ชิดยังแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่บ่งชี้ถึงนโยบายการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ เช่น จำนวนคดีความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือปริมาณมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองปกป้องสินค้าที่ผลิตค้าขายภายในประเทศนั้นๆ ล้วนเพิ่มจำนวนสูงขึ้น

และเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกอดกังขาไม่ได้ว่าหรือจะสมควรแก่เวลาแล้วที่องค์การการค้าโลกจะก้มหน้ายอมรับความล้มเหลวของตัวเองว่าระบบการค้าเสรีที่หวังจะทำให้ทั่วโลกเชื่อมโยงถึงกันกลายเป็นตลาดเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

ยิ่งเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกตกอยู่ในภาวะวิกฤตซบเซาต่อเนื่องยาวนาน ก็ยิ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเชื่อว่า ตลาดการค้าเสรีโลกเป็นความฝันที่ไกลเกินตัวและเป็นไปไม่ได้จริง

เนื่องจาก 1) กระแสของนโยบายกีดกันทางการค้ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 2) การไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ในเวทีระดับโลก และ 3) การหันมาสร้างเครือข่ายการค้าระหว่างกันเองจนเกิดเป็นเงื่อนไขปลีกย่อยซ้ำซ้อนขัดแย้งกันเอง

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่เกิดวิกฤตตลาดการเงินล่มสลายจนลามเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจการค้าโลกเมื่อ 56 ปีก่อน บรรดารัฐบาลและผู้นำในหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่เคยสนับสนุนระบบการค้าเสรี ต้องยอมฝืนคำพูดตนเองหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ภายในประเทศของตัวเองมากขึ้น เพื่อลดทอนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศที่จะส่งผลโดยตรงต่อปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

หลักฐานยืนยันก็คือ ข้อมูลการสำรวจจากโกลบอล เทรด อะเลิร์ต หรือกลุ่มเฝ้าระหว่างการค้าโลก องค์กรอิสระที่คอยจับตาดูนโยบายทางการค้าที่มีผลต่อตลาดโลกภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยเซนต์กัลเลนในสวิตเซอร์แลนด์ กับศูนย์วิจัยนโยบายเศรษฐศาสตร์ในกรุงลอนดอน พบว่าในช่วงระหว่างปี 2553-2554 ทั่วโลกมีมาตรการป้องกันการค้าเพิ่มขึ้นมาถึง 226 มาตรา

ขณะเดียวกัน ในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 20 ประเทศ (จี20) ที่เมืองคานส์ ในปี 2554 กับที่เมืองลอส คาบอส ประเทศเม็กซิโก ในปี 2555 มีการนำมาตรการกีดกันทางการค้ามาบังคับใช้อย่างน้อย 110 มาตรา โดยในจำนวนนี้มี 89 มาตรา ที่มาจากประเทศในกลุ่ม จี20

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักอธิบายว่า แม้เกือบทุกประเทศจะไม่ได้ออกมาตรการกีดกันทางการค้าออกมาอย่างชัดเจนโจ่งแจ้ง แต่สารพัดมาตรการใหม่ๆ ที่ออกมาล้วนเอื้อผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ มากกว่าอุตสาหกรรมข้ามชาติ โดยองค์การการค้าโลกประเมินคร่าวๆ ว่า จำนวนมาตรการที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะส่งผลต่อมูลค่าการค้าโลกถึง 3%

นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศเติบโตช้าลง หรือมีปัญหาถดถอยซบเซา จนส่งผลต่ออัตราการว่างงานภายในประเทศยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้รัฐบาลของประเทศนั้นๆ เร่งยกระดับมาตรการภายในประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นมาตรการที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเห็นว่าเป็นมาตรการที่เข้าข่ายการปกป้องการค้าของตัวเองทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น มาตรการกระตุ้นการส่งออกระยะสั้น การดำเนินนโยบายการเงินอย่างรอบคอบระมัดระวัง และการลดหย่อนภาษีต่างๆ

สำหรับเหตุผลประการต่อมาที่ส่งผลให้โลกการค้าเสรีเป็นไปไม่ได้ สืบเนื่องมาจากความล้มเหลวในการหาข้อตกลงร่วมกันภายใต้กรอบการเจรจาการค้าเสรีรอบโดฮาเมื่อปี 2544 ซึ่งทำสถิติกลายเป็นรอบการเจรจาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเจรจาการค้าพหุภาคี และยังคงไม่มีสัญญาณว่าการเจรจาจะปิดรอบได้ในเร็ววัน

กระทั่ง ปีเตอร์ ซัตเธอร์แลนด์ อดีตผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอ แสดงความเห็นผ่านบทความว่า การเจรจาดังกล่าวถึงทางตัน และนับเป็นความล้มเหลวที่ไม่มีใครเสมอเหมือนได้ในประวัติศาสตร์การเจรจาการค้าเสรีระดับพหุภาคี

ทั้งนี้ ปัญหาหลักที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันของบรรดาชาติสมาชิกในดับเบิลยูทีโอก็คือประเด็นในเรื่องสินค้าเกษตร และระเบียบข้อบังคับในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นความขัดแย้งหลักระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐและยุโรปกับประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่นำโดยดาวเด่นอย่าง จีนและบราซิล

และการที่องค์การดับเบิลยูทีโอเลือกเสนอทางออกด้วยการให้เป็นความร่วมมือยินยอมตามความสมัครใจ ก็ยิ่งทำให้หนทางที่จะบรรลุข้อตกลงร่วมกันเป็นไปได้ยาก

ประเด็นปัญหาข้างต้นได้นำไปสู่เหตุผลประการต่อมา ที่ความล่าช้าทำให้บรรดาประเทศต่างๆ หันมาเปิดฉากเจรจากันเองในระดับทวิภาคีหรือพหุภาคีที่ผ่านกลุ่มองค์การระหว่างประเทศมากขึ้น

เช่น ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับสหภาพยุโรป (อียู) หรือทรานส์แอตแลนติก หรือข้อตกลงระหว่างสหรัฐกับกลุ่มอาเซียน หรือกระทั่งความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (ทีพีพีพี)

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอคนปัจจุบันระบุว่า การเดินหน้าเจรจาสร้างเงื่อนไขดังกล่าวคล้ายๆ กับอาการของโรคคอเลสเตอรอล คือมีเครือข่ายการค้าที่กระจัดกระจายสั่งสมทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันสังเกต และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นกฎข้อบังคับที่มาอุดตันเส้นเลือดสายหลักซึ่งขัดขวางไม่ให้การค้าเสรีโลก หรือความฝันที่จะเป็นตลาดเดียวเป็นไปได้ยากเสียแล้ว

ขณะที่ทางด้านอดีตผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโออย่างซัตเธอร์แลนด์ถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า การที่มีเงื่อนไขทับซ้อนกันจะทำให้การเจรจาการค้าโลกอยู่ภายใต้กรอบที่มีการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติ เนื่องจากข้อตกลงเหล่านั้นเกิดจากความหวังผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศของตัวเอง

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือว่า การเจรจาในเวทีเล็กลงได้สร้างกรอบจำกัดที่ขวางไม่ให้ตลาดการค้าเสรีโลกบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้

แจ็กดิช ภควาตี ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนิวยอร์ก กล่าวว่า หากการเจรจาการค้าระดับทวิภาคีอย่างข้อตกลงสหรัฐอียู หรือระดับพหุภาคีอย่าง ทีพีพี ได้รับการผลักดันจนเป็นรูปเป็นร่างได้สำเร็จ สิ่งที่ทั่วโลกจะได้เห็นแน่นอนก็คือ การค้าเสรีโลกจะโดนควบคุมโดยสหรัฐ ยุโรป แคนาดาและญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่า “ควอด” (Quad) เสียส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน บราซิล หรือแม้แต่อินเดีย ถูกกันออกไปจากเวที

และท้ายที่สุดแม้โลกอาจจะได้เห็นตลาดการค้าเสรี แต่ก็เป็นโลกการค้าเสรีภายใต้เงื้อมมือมหาอำนาจเพียงไม่กี่ประเทศ ไม่ใช่ตลาดเสรีตลาดเดียวที่ทั่วโลกเคยฝันและมีเป้าหมายร่วมกัน

Thailand Web Stat