ยิ่งลักษณ์ เสี่ยง!!!! ลุยนิรโทษเหมาเข่ง
ก้าวสู่จุดสุ่มเสี่ยงของรัฐบาลเพื่อไทยอีกครั้งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ พร้อม สส. 149 คน เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.การปรองดองแห่งชาติ ในวันที่ 23 พ.ค.นี้
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
ก้าวสู่จุดสุ่มเสี่ยงของรัฐบาลเพื่อไทยอีกครั้งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ พร้อม สส. 149 คน เตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.การปรองดองแห่งชาติ ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ จองคิวไว้รอพิจารณาในสภาช่วงสมัยประชุมหน้า
ปมใหญ่ที่ทำให้กฎหมายปรองดองเวอร์ชั่น ร.ต.อ.เฉลิม ฉบับนี้มีปัญหามากกว่าฉบับอื่นๆ ที่เพื่อไทยพยายามผลักดัน อยู่ที่การนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีฉากหน้าเป็นเป้าหมายที่จะมุ่งสลายความขัดแย้ง ยุติความบาดหมางทางการเมืองให้หมดสิ้นไป
แม้จะไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจง แต่ในมาตรา 4 พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุว่า บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใดๆ ที่เกิดจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 ก.ย. พ.ศ. 2549 หรือจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกล่าวหาจากหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด
นั่นย่อมทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถูกคำพิพากษายึดทรัพย์จากการตั้งต้นของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) รวมไปถึงอีกหลายคดีที่จ่อคิวรอการพิจารณาไม่ถือว่าเป็นความผิด
เส้นทางกลับบ้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงถูกกรุยทางโดย พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปโดยปริยาย ยังไม่รวมกับเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ที่ถูกยึดไปก่อนหน้านี้ หากเหตุแห่งการยึดทรัพย์ไม่ถือเป็นความผิดอีกต่อไป ย่อมเปิดทางให้เจ้าของเงินสามารถทวงเงินคืนได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ปมเรื่องการล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงถือเป็นประเด็นใหญ่ที่ “ประชาธิปัตย์” ไม่อาจยอมให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านไปได้ แต่ด้วยเสียงฝ่ายค้านที่มีไม่ถึง 200 เสียง จึงจำเป็นต้องปลุกกระแสสังคมขึ้นมาช่วยต่อต้านกฎหมายฉบับนี้
ยังไม่รวมกับบางแง่มุมที่บางฝ่ายเห็นว่า พ.ร.บ.นี้อาจจะไปขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ที่รองรับอำนาจการกระทำต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังคณะปฏิวัติ ซึ่งอาจจะเป็นชนวนให้ พ.ร.บ.นี้ต้องสะดุดในอนาคตหากมีการยื่นร้องเรียน
อีกส่วนที่ถูกมองว่าจะเป็นปัญหายังอยู่ในมาตรา 3 วรรคถัดมา “บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าวในระหว่าง พ.ศ. 2549 จนถึงวันที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ หากมีการกระทำใดเป็นความผิดตามกฎหมาย ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
ในกรณีที่ผู้กระทำการตามวรรคหนึ่งอยู่ในระหว่างการสอบสวนให้ผู้มีอำนาจสอบสวนระงับการสอบสวนนั้น ถ้าอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องให้พนักงานอัยการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้อง ถ้าอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด...”
หมายความว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีผลไปลบล้างคำพิพากษาของศาลในอดีต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักนิติธรรมนิติรัฐ และน่าจะเป็นอีกปมปัญหาให้ฝ่ายคัดค้านออกมาถล่มถึงความถูกต้อง
แม้แต่ “อุดม เฟื่องฟุ้ง” อดีตรองประธานศาลฎีกา และอดีต คตส. ยังออกมาแสดงความเห็นว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการออกกฎหมายใดที่จะมาลบล้างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว โดยไม่เคยมีกฎหมายในลักษณะอย่างนี้
น่าสนใจตรงที่ไม่เพียงแต่ขาประจำที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองฯ ฉบับนี้ เพราะบางปีกของเสื้อแดงก็เริ่มออกมาคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการเหมาเข่งล้างผิดให้ทั้งฝ่ายอดีตรัฐบาล เจ้าหน้าที่ โดยไม่สนใจค้นหาความจริงที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ศพ
เพราะในมาตรา 3 ยังระบุขอบเขตการล้างผิดให้ครอบคลุมการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องจากการป้องกันระงับ หรือปราบปรามในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง การแสดงความเห็นทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่อง
สะท้อนผ่าน “สุดา รังกุพันธุ์” แกนนำ 29 มกราฯ ปลดปล่อยนักโทษการเมืองที่ออกมาคัดค้าน และเห็นว่าการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งเท่ากับลืมความสูญเสียชีวิตของพี่น้องประชาชน และทำให้การสูญเสียชีวิต 3 ปีที่ผ่านมาสูญเปล่า เพราะผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดชอบ
ที่สำคัญแกนนำ 29 มกราฯ ยังวิเคราะห์ว่าจะทำให้เกิดแรงต้านในสังคมทั้งฝ่ายเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามเอง จนกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของ “วรชัย เหมะ” และเตรียมแสดงจุดยืนต่อต้านคัดค้าน สส.เสื้อแดงที่ไปร่วมผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองฯ ของ ร.ต.อ.เฉลิม
จึงอาจเป็นชนวนความขัดแย้งในกลุ่มเสื้อแดง และหากไม่ได้รับการคลี่คลายย่อมนำไปสู่การแตกแยกในที่สุด โดยเฉพาะเวลานี้ยังไม่เห็นท่าทีของ สส.เสื้อแดง ต่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่าจะสนับสนุนหรือไม่อย่างไร
แต่ที่ดูจะเป็นเงื่อนไขน่าหนักใจที่สุดของรัฐบาลเพื่อไทย คือ พ.ร.บ.นี้จะเข้าข่ายกฎหมายการเงิน เพราะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องเป็นผู้เซ็นลงนามเสนอกฎหมาย
เท่ากับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาเหมือนที่ผ่านๆ มาไม่ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งอาจบานปลายนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด หรือจะเป็นปมปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชาย จะได้รับอานิสงส์ ล้างผิดจากกฎหมายนี้แบบชัดเจน แม้จะมีข้อถกเถียงว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อคนทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง
เส้นทางการขับเคลื่อน พ.ร.บ.ปรองดองฯ ฉบับนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางจึงเต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง