โพลABACเผยคนหนุนปรับครม.กระทรวงพาณิชย์
โพลเอแบคเผยคนหนุนปรับเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ หากมีการปรับครม. เชื่อรัฐบาลอยู่ครบวาระยากเหตุนโยบายพ่นพิษ-ความขัดแย้งการเมือง
โพลเอแบคเผยคนหนุนปรับเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ หากมีการปรับครม. เชื่อรัฐบาลอยู่ครบวาระยากเหตุนโยบายพ่นพิษ-ความขัดแย้งการเมือง
เมื่อวันที่ 6 ต.ค. น.ส.ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง"ความพึงพอใจของประชาชนต่อผลงานรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และข่าวลือการปรับ ครม." กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่พักอาศัยอยู่ใน กทม. และหัวเมืองใหญ่ของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,885 ตัวอย่าง ช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7
ผลสำรวจระบุว่า เมื่อสอบถามถึงข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 60.9 คิดว่าเป็นเรื่องจริง ในขณะที่ร้อยละ 39.1 คิดว่าเป็นข่าวลืออย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.6 คิดว่า ยังไม่ถึงเวลาที่ควรจะปรับคณะรัฐมนตรีในขณะนี้ เพราะเพิ่งปรับมาไม่นาน ควรให้โอกาสรัฐมนตรีในการทำงานก่อน จะทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในการทำงาน และคงไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากนี้ ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.4 คิดว่าวัตถุประสงค์หลักต่อข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
สำหรับกระทรวงที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่า ควรปรับมากที่สุดถ้าหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีจริง ได้แก่ อันดับแรกหรือร้อยละ 28.3 ระบุกระทรวงพาณิชย์ อันดับที่ 2 คือ ร้อยละ 22.7 ระบุ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อันดับที่ 3 คือร้อยละ 20.4 ระบุ กระทรวงมหาดไทย อันดับที่ 4 คือร้อยละ 17.9 ระบุ กระทรวงการคลัง และอันดับที่ 5 คือร้อยละ 10.7 ระบุ กระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ว่า จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลดีขึ้น พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 56.0 คิดว่าเหมือนเดิม ในขณะที่ร้อยละ 28.3 คิดว่าดีขึ้น และร้อยละ 15.7 คิดว่าแย่ลง ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.4 คิดว่าข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้จะเป็นการแทรกแซงการทำงานของนายกรัฐมนตรีนอกจากนี้ เมื่อถามถึงบทบาทสำคัญในการตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.2 คิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควรมีบทบาทสำคัญ แสดงความเป็นผู้นำ และตัดสินใจด้วยตัวเอง ในฐานะผู้นำประเทศ เพราะเป็นอำนาจ หน้าที่อยู่แล้ว ในขณะที่ร้อยละ 29.8 ระบุควรให้ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 51.7 มีความพึงพอใจในผลงานรัฐบาลโดยภาพรวม ในระดับปานกลาง ในขณะที่ร้อยละ 36.2 พอใจน้อยถึงน้อยที่สุด และร้อยละ 12.1 พอใจมากถึงมากที่สุด
อย่างไรก็ตามกว่าสองในสามหรือร้อยละ 69.0 คิดว่ารัฐบาลจะสามารถทำงานต่อไปจนครบวาระได้ยาก เพราะผลลัพธ์จากนโยบายพ่นพิษของรัฐบาล ความขัดแย้งทางการเมืองและมวลชน และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่ร้อยละ 31.0 คิดว่าเป็นไปได้ เพราะรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหา และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศแก่นานาชาติ เป็นต้น.