พบหมอในฝัน
เราทั้งครอบครัวออกเดินทางเพื่อจะไปหาหมอไช่เฮียนลิว แต่แล้วเมื่อเราเดินทางมาถึงสถานที่ตามที่แม่สามีของพี่สาวบอก
โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง
เราทั้งครอบครัวออกเดินทางเพื่อจะไปหาหมอไช่เฮียนลิว แต่แล้วเมื่อเราเดินทางมาถึงสถานที่ตามที่แม่สามีของพี่สาวบอก ซึ่งตรงตามที่ชายชราในฝันบอกไว้เช่นกัน กลับไม่พบตัวหมอแม้เราจะพยายามถามหาคุณหมอชื่อเฮียนลิวเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้จัก
หัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวังของผมและทุกคนก็เริ่มห่อเหี่ยว แต่เมื่อพวกเราเข้าไปถามกับชาวบ้านคนหนึ่ง เขาบอกว่า “หมอที่ว่านี้น่าจะเป็นหมอรักษาตาชื่อ ไช่ฉอนแต๊ะ ซึ่งอยู่ในละแวกไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่” หัวใจที่ห่อเหี่ยวก็กลับมามีความหวังขึ้นอีกครั้ง
ชายคนนั้นอธิบายทางไปบ้านหมออย่างละเอียด และบอกจุดสังเกตว่าที่หน้าบ้านมีป้ายยกย่องเชิดชูหมอที่คนไข้มอบให้ติดไว้เต็มข้างฝา ภายหลังจึงทราบว่า “หมอไช่เฮียนลิว” กับ “หมอไช่ฉอนแต๊ะ” คือคนคนเดียวกัน
คงไม่ต้องบอกว่าผมดีใจขนาดไหนที่มาถึงจุดนี้ แต่แม้ผมจะดีใจมากเท่าไหร่ คงไม่มากไปกว่าพ่อและแม่ และเมื่อได้เห็นหน้าหมอที่พวกเราตามหาก็ต้องตกใจ เพราะหมอมีลักษณะเหมือนบุคคลที่ผมเห็นในฝันทุกอย่าง ปาฏิหาริย์กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตของผมแล้ว โลกที่เคยมืดมิดมานานหลายปี กำลังจะสว่างขึ้นอีกครั้ง...ผมตื่นเต้นดีใจและเปี่ยมไปด้วยความหวังจนน้ำตาคลอ
ในที่สุดผมก็ได้พบหมอรักษาดวงตา ในความคิดของผมขณะนั้นเหมือนหมอเป็น “เทวดา” เสียจริงๆ บอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองดีใจขนาดไหน นึกอยู่ในใจว่า เสียดายที่มองไม่เห็นหน้าหมอ หมอที่จะช่วยให้คนตาบอดอย่างผมมองเห็นโลกนี้ได้อีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เทวดาจะให้ผมเรียกเขาว่าอะไร ผมได้แต่อธิษฐานขอให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี... ขอให้ผมได้มองเห็นอีกครั้ง!
ป้ายหินสลักของหลุมฝังศพ บรรพบุรุษรุ่นที่ 16 ของตระกูลผม (คุณปู่หรืออากงและคุณย่าหรืออาม่า)
เมื่อเดินทางมาถึงและเข้าไปภายในบ้านหมอ ผมได้ยินพ่อแม่พูดถึงความสามารถในการรักษาของหมอด้วยความตื่นเต้น เพราะมีใบประกาศเกียรติคุณจำนวนมากติดไว้ที่ข้างฝาภายในห้อง เป็นเครื่องรับประกันความสามารถในการรักษาคนไข้ให้หายมานักต่อนัก ในใจผมเต็มไปด้วยความลิงโลด ความหวังที่จะหายจากตาบอดอยู่แค่เอื้อม
หลังจากที่ได้พบหน้าหมอ พ่อกับแม่ถึงกับตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง เพราะหมอมีลักษณะเหมือนที่ผมเล่าให้ฟัง ว่าอากงพามาให้พบในฝัน แม่กระซิบกับพ่อว่า
“หมอหัวล้าน แต่งตัวแบบที่ซิวซีบอกเลย”
“จริงด้วย เหลือเชื่อจริงๆ”
ผมฟังแล้วยิ้มรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย แต่เพียงแค่ได้คุยกับหมอเท่านั้น ก็ทำให้เราทุกคนถึงกับสะอึกและอึ้งไปตามๆ กัน หมอแซ่ไช่ถามเราตรงๆ ว่า
“จะมารักษา...กล้าสู้ค่ารักษาหรือเปล่า ยาแพงนะ”
“ไม่มีปัญหา แพงเท่าไหร่ก็จะสู้ขอให้หายแล้วกัน”
แม่กับพี่ชายคนที่ 3 (ซิวฟ้อย) และพี่ชายคนที่ 4 (ซิวสอน) ยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยวหลังจากได้ยินว่าเราไม่มีปัญหาเรื่องค่ารักษา หมอก็ลงมือตรวจดวงตาของผมทั้งสองข้างอย่างละเอียด หลังตรวจเสร็จ หมอลงความเห็นโดยบอกเป็นนัยๆ ว่า
“ยังพอมีทางรักษาได้...”
พวกเราทั้งหมดต่างดีใจ แล้วหมอก็หันไปบอกแม่กับพ่อของผม
“แต่ขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของพวกคุณ”
“ต้องใช้สักเท่าไหร่คะคุณหมอ”
“ค่ายาที่คนป่วยต้องกินต่อเนื่องกัน 6-8 เดือน ต้องกินยาทุกวัน เต็มที่กินยา 480 ห่อ ห่อละ 120 กวนกิม เป็นเงินไม่เกิน 6 หมื่นกวนกิม ยาพวกนี้อั๊วจะเขียนรายการ แล้วให้พวกลื้อไปซื้อเอง ส่วนเรื่องค่ารักษาจ่ายต่างหาก”
“แล้วนานแค่ไหนที่ลูกของฉันจะหาย”
“เวลาที่รักษาประมาณ 6 เดือนขึ้นไปถึงจะรู้ผล”
เราทุกคนยืนนิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลาในการรักษา แต่เป็นค่ารักษาพยาบาลและค่ายาที่มากมายมหาศาลนั่นต่างหาก สำหรับคนจนอย่างครอบครัวของเราเป็นเรื่องที่มองไม่เห็นทางเลย
ผมรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ขึ้นมาทันที อุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาหาหมอที่มีความสามารถจนพบ และหมอเองก็บอกว่ารักษาให้หายได้ แต่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้น ผมรู้ดีว่าครอบครัวเราไม่มีแน่นอน เพราะลำพังจะซื้อข้าวกินแต่ละมื้อยังลำบากแทบแย่
(อ่านต่อฉบับวันเสาร์หน้า)