สรรเสริญย้ำรร.กวดวิชาอย่าผลักภาระให้นักเรียน
รองโฆษกเตือน รร. กวดวิชาอย่าผลักภาระให้นักเรียน ระบุถึงเวลาสร้างความเท่าเทียมทางภาษี แนะหากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมร้อง สคบ. ได้
รองโฆษกเตือน รร. กวดวิชาอย่าผลักภาระให้นักเรียน ระบุถึงเวลาสร้างความเท่าเทียมทางภาษี แนะหากผู้บริโภคไม่ได้รับความเป็นธรรมร้อง สคบ. ได้
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณี พระราชกฤษฎีกา เรียกเก็บภาษีเงินได้ โรงเรียนกวดวิชาว่า เป็นไปเพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี เนื่องจากโรงเรียนกวดวิชาเป็นกิจการเพื่อการค้าและแสวงหากำไรเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น จึงควรเสียภาษีอย่างถูกต้องและเสมอภาค ซึ่งได้รับการยกเว้นมาอย่างยาวนานแล้ว ควรดำเนินการเข้าสู่ระบบให้ถูกต้อง รวมทั้งไม่ถือเป็นการศึกษาทางหลักแต่เป็นการเรียนการสอนนอกเหนือจากการศึกษาในระบบปกติ
"ขอย้ำอีกครั้งว่า เป็นการจัดเก็บภาษีจากผลกำไร หลังหักค่าใช้จ่าย มิได้จัดเก็บจากรายรับทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นการลดในส่วนผลกำไร เพื่อนำส่งเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน จึงอยากขอความร่วมมือผู้ประกอบการทุกท่าน ปฏิบัติตามกฎหมาย และไม่ควรผลักภาระให้แก่เด็กนักเรียนหากมีกรณีที่เด็กนักเรียน หรือผู้ปกครองรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็สามารถปรึกษาสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อขอคำแนะนำตามที่เหมาะสมได้"พล.ต.สรรเสริญกล่าว
พล.ต.สรรเสริญกล่าวอีกว่า รัฐยังคงยกเว้นภาษีให้แก่โรงเรียน และสถาบันการศึกษาเอกชน เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการศึกษากระแสหลักและจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ และสนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อหนุนเสริมในจุดที่การจัดการศึกษาโดยรัฐ ไม่สามารถทำได้ครอบคลุมทั่วถึง
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ คาดการณ์ว่า มูลค่าการตลาดโรงเรียนกวดวิชาในปี 2558 จะสูงถึง 8,189 ล้านบาท และมีโรงเรียนกวดวิชาราว 2,000-3,000 แห่งทั่วประเทศ ที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากปัจจุบันที่ไม่ต้องเสียภาษีเลย คาดว่าการเก็บภาษี รร. กวดวิชา จะทำให้มีรายได้เข้ารัฐ ประมาณ 1,200 ล้านบาท