เทคโนเวิลด์
สำนักข่าวเดอะการ์เดี้ยน รายงานว่า บรรพบุรุษรุ่นแรกของมนุษย์อาจมีชีวิตอยู่เมื่อ 3.6 ล้านปีที่แล้ว
เผยรอยเท้าบรรพบุรุษมนุษย์เมื่อ 3.6 ล้านปีก่อน
สำนักข่าวเดอะการ์เดี้ยน รายงานว่า บรรพบุรุษรุ่นแรกของมนุษย์อาจมีชีวิตอยู่เมื่อ 3.6 ล้านปีที่แล้ว เมื่อมีการค้นพบรอยเท้าของกลุ่มมนุษย์วานรโบราณจำนวน 5 คู่ ที่มีชื่อว่า ออสตราโลพิเธคัส ซึ่งในกลุ่มประกอบด้วยทั้งมนุษย์เพศชายและเพศหญิง ฝังอยู่ในเถ้าถ่านภูเขาไฟในประเทศแทนซาเนีย โดยมนุษย์กลุ่มดังกล่าวมีถิ่นที่อยู่ในทวีปแอฟริกาในช่วงดังกล่าว จากการตรวจสอบพบมนุษย์เพศหญิงในกลุ่มนี้มีความสูงราว 140 เซนติเมตร ขณะที่เพศชายมีความสูงราว 165 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นมนุษย์ออสตราโลพิเธคัสที่มีความสูงมากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา ทั้งนี้ รอยเท้ามนุษย์โบราณกลุ่มใหม่ในแทนซาเนียมีความสูงมากกว่าและมีชีวิตอยู่มานานกว่า ลูซี่ บรรพบุรุษมนุษย์เพศหญิงอันโด่งดังที่มีการค้นพบก่อนหน้านี้ ซึ่งมีความสูงเพียง 110 เซนติเมตรเท่านั้น และมีชีวิตอยู่เมื่อราว 3.2 ล้านปีก่อน ในเขตฮาดาร์ ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน โดยการค้นพบดังกล่าวคาดว่าจะนำไปสู่การวิจัยใหม่เกี่ยวกับต้นกำเนิดมนุษย์ในเวลาต่อไป
พบกุญแจฟื้นคืนความเยาว์วัยในสิ่งมีชีวิต
ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิจัยซอล์ค เพื่อการศึกษาชีววิทยา ค้นพบแนวทางการฟื้นคืนความเยาว์วัยในสิ่งมีชีวิต โดยใช้วิธียีนบำบัดในหนูทดลอง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างยีนให้กลับไปคล้ายคลึงกับเซลล์ในตัวอ่อน โดยเซลล์ดังกล่าวมีชื่อว่า สเต็มเซลล์ชนิดพลูริโพเทนท์ (ไอพีเอส) ที่สามารถแยกตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ประเภทต่างๆ ได้หลากหลายรูปแบบ โดยทีมงานได้ทดลองเปลี่ยนยีนในตัวหนูทดลองที่มีภาวะโรคชรา 4 ยีนไปเป็นยีนไอพีเอส ซึ่งหลังจากเปลี่ยนถ่ายยีนดังกล่าวไปแล้ว 6 สัปดาห์ นักวิจัยพบว่า หนูกลุ่มดังกล่าวดูมีอายุน้อยลง โดยกระดูกสันหลังตรงขึ้น ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น บาดแผลหายเร็วกว่าเดิม และมีอายุยืนยาวขึ้น 30% ทั้งนี้ แนวทางการใช้เซลล์บำบัดดังกล่าวมีการนำไปใช้เป็นครั้งแรกในสิ่งมีชีวิต ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพและยืดอายุได้จริง อีกทั้งในขณะนี้ยังไม่พบผลข้างเคียงจากการปรับเปลี่ยนเซลล์ดังกล่าว เช่น ความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ดี หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่า การค้นพบดังกล่าวไม่ใช่กุญแจการสู่ความเป็นอมตะ และเป็นความสำเร็จเพียงบางส่วนเท่านั้น รวมถึงอาจพบอุปสรรคในการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์อย่างเต็มที่ต่อไปในอนาคต
ปล่อยดาวเทียมจิ๋วช่วยพยากรณ์เฮอริเคน
นาซ่าทีวี รายงานว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือ นาซ่า ได้ปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กจำนวน 8 ดวง ซึ่งแต่ละดวงมีน้ำหนักเพียง 30 กิโลกรัมเท่านั้น ออกไปจากจรวดเพกาซัสขึ้นสู่อวกาศเพื่อช่วยพยากรณ์ระดับความรุนแรงของพายุเฮอริเคน ซึ่งจะทำให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมมาตรการรับมือเหตุดังกล่าวได้ดีขึ้น โดยดาวเทียมดังกล่าวที่ลอยอยู่เหนือพื้นโลกราว 510 กิโลเมตร จะคำนวณความเร็วลมโดยใช้สัญญาณวิทยุจากระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (จีพีเอส) โดยตัวรับจีพีเอส บนดาวเทียมไม่เพียงแต่จะจับสัญญาณคลื่นวิทยุจากยานอวกาศได้เท่านั้น แต่ยังจับสัญญาณคลื่นวิทยุที่สะท้อนกลับมาจากพื้นผิวของมหาสมุทรได้อีกด้วย เมื่อตรวจพบว่าลมพายุเริ่มก่อตัวขึ้นในมหาสมุทร ทั้งนี้ ดาวเทียมพยากรณ์อากาศในปัจจุบันไม่สามารถวัดขนาดลมภายในแก่นกลางของเฮอร์ริเคนได้ นักวิทยาศาสตร์จึงได้พัฒนาดาวเทียมดังกล่าวขึ้นมา
นักวิทย์พัฒนาอุปกรณ์ฟื้นฟูอาการผู้ป่วยอัมพาต
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโรนัลด์ เรแกน ในรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐ พัฒนาอุปกรณ์สร้างขั้วไฟฟ้าซึ่งช่วยฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อของผู้ป่วยอัมพาต ทั้งนี้ อุปกรณ์ดังกล่าวจะกระตุ้นให้ไขสันหลังส่งสัญญาณจากสมองไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเลี่ยงส่วนที่กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ จากการทดลองพบว่า อุปกรณ์ใหม่นี้ช่วยให้ผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวแขนและขาไม่ได้ ขยับนิ้วมือได้มากขึ้น 300% พร้อมเพิ่มความสามารถในการจับสิ่งของ โดยทีมงานระบุว่า อุปกรณ์ดังกล่าวไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยอัมพาตกลับมาเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม 100% แต่เพียงช่วยให้กลับมาทำกิจวัตรประจำวันหลายอย่างได้ เช่น การแปรงฟัน ผูกเชือกรองเท้า หรือใช้ส้อมทานอาหาร อย่างไรก็ดี อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ดังกล่าวทดลองใช้กับผู้ป่วยอายุ 28 ปี แค่เพียงรายเดียวเท่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมในเวลาต่อไป