posttoday

ผู้หลงทางในวังต้องห้าม

12 กุมภาพันธ์ 2560

แต่เดิมคนในปักกิ่งแต่ก่อนทราบดีว่า หลังพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะไม่มีใครอยู่ในพระราชวังต้องห้าม

โดย...กรกิจ ดิษฐาน

แต่เดิมคนในปักกิ่งแต่ก่อนทราบดีว่า หลังพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะไม่มีใครอยู่ในพระราชวังต้องห้าม จะมีก็แต่สุนัขพันธุ์ทิเบตเท่านั้นที่อยู่ถาวร ส่วนคนที่ทำงานอยู่ในพระราชวังต้องรีบออกมาก่อนค่ำไม่เช่นนั้นก็ต้องรอจนเข้าวันใหม่แล้วจึงจะออกมาได้ แต่การติดอยู่ในวังอันหรูหราใหญ่โตยามค่ำคืน ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทราบเบื้องหลังอันน่าสะพรึงกลัวของมัน

มีครั้งหนึ่งคนร้ายซ่อนตัวตอนเย็นย่ำจนถึงกลางดึกตั้งใจจะขโมยของล้ำค่าในวัง แต่ในเช้าวันต่อมามีคนพบเขานอนตายอย่างปริศนาที่ด้านหน้าประตูท้องพระโรงพระที่นั่งไท่เหอเตี้ยน

นานมาแล้ว เล่ากันว่ากลางตึกคืนหนึ่ง ยามกะดึกในพระราชวังต้องห้ามมองเห็น “กลุ่มคน” แต่งตัวในชุดโบราณคล้ายกับนางในกับขันทีเดินเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามคนนั้นถึงกับกลัวจนเข่าอ่อน จนต้องรีบไปแอบมองอยู่ที่ด้านหลังเก้าอี้หิน มองดู “กลุ่มคน” เหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไปราว 100 เมตรค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตา

ในสมัยต้นยุคคอมมิวนิสต์ (60 กว่าปีก่อน) ชายคนหนึ่งเดินมาจากพิพิธภัณฑ์วังหลวงที่อยู่ใกล้ๆ กัน ครั้นมาถึงวังหลวงมองเห็นคนกำลังถือโคมไฟอยู่ไกลๆ จึงนึกเอะใจว่า ในยุคนี้แล้วทำไมยังมีคนใช้โคมไฟแบบโบราณอยู่อีก จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้พอควรจึงเห็นว่า ผู้ที่ถือโคมอยู่นั้นแต่งชุดนางในสมัยราชวงศ์ชิง เขาตกใจกลัวจนฟุบลงกับพื้น แล้วรอให้แสงไฟจากโคมค่อยๆ ลับไป จึงพยุงร่างค่อยๆ เดินกลับบ้านอย่างทุลักทุเล

กว่าที่พระราชวังต้องห้ามจะมีการจัดเวรยามอย่างเป็นระบบ ก็เป็นช่วงปลายทศวรรษที่ 40 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยว หลังจากนั้นเริ่มมีรายงานการพบเห็นสิ่งลี้ลับอย่างต่อเนื่องของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเห็นกลุ่มนางในและขันทีเดินไปเดินมายามค่ำคืน ได้ยินเสียงร่ำไห้ของหญิงสาวในแถบวังชั้นใน หรือได้เสียงดนตรีใน
ยามดึก หรือบางครั้งก็เห็นสัตว์แปลกๆ วิ่งผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว จึงร่ำลือกันว่า ที่วังกู้กงไม่เคยเปิดให้ชมยามดึกก็เพราะเหตุผลนี้

...อีกเรื่องหนึ่ง เล่ากันว่า กลางดึกของคืนหนึ่งในเดือน ต.ค. 1995 ทหารรักษาการวังกู้กง ชื่อเล่นว่า พ่างฝู (เจ้าฝูจอมตุ๊ต๊ะ) กำลังนั่งดูทีวีอยู่กับเพื่อนทหาร ขณะนั้นเวลาราวๆ 3 ทุ่ม จู่ๆ เพื่อนร่วมหน่วย 2 คน ตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้องพัก หน้าตาซีดเผือดหายใจหอบไม่เป็นส่ำ แล้วเล่าว่า

“ระหว่างที่พวกเรากำลังตรวจตราในบริเวณพระราชวัง พวกเขาเก็นคนคนหนึ่งยื่นเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่ประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสมบัติล้ำค่า เราจึงตะโกนถามไป แต่ไม่มีเสียงตอบ พวกเราจึงเดินเข้าใกล้ๆ ราว 30 เมตรเห็นจะได้ เห็นคนคนนี้แต่งตัวในชุดสีดำยาว เมื่อเข้าไปใกล้ คนผู้นั้นกลับถอยผละจากเรา ส่วนเราเองก็มองเห็นแต่ผมยาวปิดใบหน้าจนมิด เราจึงตะโกนถามไปอีกครั้งว่า ใครกัน เท่านั้นเองคนคนนั้นก็วิ่งหนีไปทางทิศเหนือของห้องจัดแสดง ตอนนั้นเองที่เราแน่ใจว่าคนคนนี้ต้องไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในพระราชวังแน่นอน จึงเปิดไฟฉายแล้ววิ่งไล่ตามไปทางตรอกด้านทิศเหนือ

จนกระทั่งมาไล่ทันเอาเมื่อถึงเวทีเล็กๆ หลังหนึ่ง อยู่ห่างจากเราไปราวๆ 30 เมตรเห็นจะได้ จนมาหยุดอยู่ที่ลานด้านหน้าเวทีเพราะประตูทางออกปิดตายไว้ เราจึงเดินไปประกบคนละข้างแต่คนคนนี้ยืนหันหน้าไปที่ประตูปิดตาย แต่ยังหันหลังให้กับพวกเรา เมื่อมองดูคร่าวๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้หญิง เพราะตัวเล็ก ผมยาวสยายถึงกลางหลัง ใส่ชุดคลุมยาวสีดำ เราจึงตะคอกสั่งให้หันหน้ามา

ผู้หญิงคนนี้จึงค่อยๆ หันมาทางเรา แต่ปรากฏว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่มีใบหน้า! มีแต่ใบหน้าว่างๆ ไม่มีหูตา มีผมสยายปรกหน้า เราเห็นแค่นั้นถึงกับตัวแข็ง ไฟฉายลงตุ้บลงกับพื้น แล้วรีบเผ่นหนีกันมาไม่กล้ากระทั่งหยิบไฟฉาย ไม่กล้าแม้แต่มองหันหลังกลับมา”

พ่างฝู ได้ยินสหายเล่า จึงฉวยปืนพกแล้วพาพรรคพวกอีกราวสิบกว่าคนไปที่เกิดเหตุพบแต่ไฟฉายกองพื้น 2 อัน ไฟยังเปิดคาอยู่ แต่ไม่มีร่องรอยของภูติผีตนใด

ต่อมาฤดูร้อนของปี 1996 คืนหนึ่ง พลทหารพ่างฝู จากมณฑลเหอหนาน หอบผ้าผวยออกไปนอนยามเพียงลำพัง ที่ลานยกพื้นแห่งหนึ่งในพระราชวัง ลานยกพื้นแห่งนั้นมีบันไดขึ้นลงอยู่ ทหารหนุ่มจึงจัดการใช้ผ้าผวยปูนอนครึ่งหนึ่งแล้วห่มตัวครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็งีบหลับไป มาสะดุ้งตื่นเอาอีกทีตอนตี 5 กลับพบว่าตัวเองมานานอยู่ที่ขั้นบันไดตัวเปล่า ส่วนผ้าผวยนั้นพับเก็บเรียบร้อยวางไว้อย่างดีวางไว้บนเวทียกพื้น เห็นแค่นั้นเขาก็ร้องลั่นแล้วเผ่นกลับไปที่หน่วย

จากนั้น พ่างฝู ก็ซาบซึ้งว่าเหตุใดในวังต้องห้าม จึงต้องจัดเวรยามตอนกลางคืนกันเป็นคู่