ช้างชนช้าง "ชาติไทยพัฒนา"แหลกลาญ
ความหวังในการเลือกตั้งคราวนี้ที่ต้องการรักษา 25-30 ที่นั่งไว้ อาจเป็นงานยากของพรรคชาติไทยพัฒนาไปเสียแล้ว
ความหวังในการเลือกตั้งคราวนี้ที่ต้องการรักษา 25-30 ที่นั่งไว้ อาจเป็นงานยากของพรรคชาติไทยพัฒนาไปเสียแล้ว
***********************************
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่ถูกจับตามองในการเลือกตั้งครั้งนี้พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องจุดยืนทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคนี้มักถูกมองว่าพร้อมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่าการเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ด้วยเหตุนี้พรรคชาติไทยพัฒนา จึงเล่นการเมืองแบบแทงกั๊กมาตลอด เพื่อรักษาทั้งมิตรไม่ให้เป็นศัตรูและทอดไมตรีกับศัตรูเพื่อหวังมาเป็นมิตรร่วมกันในอนาคต
แต่มาในเวลานี้นอกเหนือไปจากจุดยืนทางการเมืองของพรรคที่น่าสนใจแล้ว ยังมีปัญหาภายในของพรรคที่เป็นประเด็นทางการเมืองร้อนแรงไม่แพ้กันนับตั้งแต่ปี่กลองเลือกตั้งเริ่มดังขึ้น
พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองที่อดีต สส.ถูกดูดออกไปจากพรรคหลายคน โดยเฉพาะพื้นที่
จังหวัดรอบๆ สุพรรณบุรี เช่น จ.อ่างทอง และอุทัยธานี เป็นต้น
ทว่าเรื่องราวในพรรคนั้นเริ่มแดงออกมารุนแรง ตั้งแต่การเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคของ “กัญจนา ศิลปอาชา”
การเป็นผู้นำพรรคของหนูนาถือว่าหักปากกาเซียนไม่น้อย เนื่องจากที่ผ่านมา “วราวุธ ศิลปอาชา” น้องชาย ได้รับการวางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรค เพื่อใช้แนวทางของคนรุ่นใหม่ในการนำพาพรรคลงสู่สนามเลือกตั้ง แต่เมื่อมีเสียงขู่จากบิ๊กการเมืองในสุพรรณบุรีบางคนว่าจะลาออกจากพรรค ทำให้ต้องเปลี่ยนหัวเรือมาเป็นหนูนาแทน
ผลกระทบจากการเปลี่ยนหัวเรือที่ว่านั้นก็เกิดขึ้นทันที เพราะบรรดาคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยมีข่าวว่าจะย้ายพรรคมาก่อน ก็ได้มาเขียนใบลาออกจากพรรคแบบสายฟ้าแลบ ทั้งในกรณีของ “ภราดร ปริศนานันทกุล” “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” สองอดีต สส.อ่างทอง และ “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” อดีต สส.ศรีสะเกษ
การออกจากพรรคชาติไทยพัฒนาของทั้งสามคน สร้างผลกระทบต่อพรรคพอสมควร เพราะไม่เพียงแต่จำนวนที่นั่งที่อาจหายไปแล้ว ยังมีผล
ไปถึงการเก็บเกี่ยวคะแนน สส.บัญชีรายชื่อของพรรคด้วย
แม้ในอีกมุมหนึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาจะได้ขุมกำลังทางการเมืองใหม่ๆ เข้ามา ทั้งในส่วนของครอบครัวสะสมทรัพย์ที่ดูแลพื้นที่นครปฐมและทีมสมุทรสาคร แต่เมื่อดูกันดีๆ แล้วจะพบว่าพรรคได้ไม่คุ้มเสียเท่าไหร่ เพราะคนที่พรรคเสียไปให้กับพรรคการเมืองคู่แข่ง ล้วนเป็นลูกหม้อของพรรคแทบทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของพรรคชาติไทยพัฒนายังไม่จบแค่นั้น เพราะล่าสุดเกิดเหตุการณ์ช้างชนช้างภายในพรรคชาติไทยพัฒนาเกิดขึ้น ภายหลัง “จองชัย เที่ยงธรรม” ประกาศเตรียมลงสมัคร สส.สุพรรณบุรี เขต 3 ในนามพรรคภูมิใจไทยชนกับ “ประภัตร โพธสุธน” เลขาธิการพรรค
ปฐมเหตุมาจากความไม่พอใจของจองชัยที่ประภัตรปล่อยให้หลานตัวเองลงมาสมัคร สส.สุพรรณบุรี เขต 4 ในนามพรรคพลังประชารัฐ ชนกับ
“เสมอกัน เที่ยงธรรม” ลูกชายของจองชัย ซึ่งเป็นว่าที่ผู้สมัครของพรรคชาติไทยพัฒนา
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้ เพราะเดิมทีหลานชายประภัตรที่สวมเสื้อพรรคพลังประชารัฐนั้นจะลงสมัคร สส.ในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่สุพรรณบุรี แต่เมื่อพรรคพลังประชารัฐไปเช็กภูมิลำเนา ปรากฏว่ายังมีภูมิลำเนาอยู่ที่สุพรรณบุรี ทำให้ต้องมาสมัคร สส.ที่สุพรรณบุรีแทน
การมาลงพื้นที่สุพรรณบุรีของหลานรักประภัตร จองชัยก็ทราบเป็นอย่างดีและเข้าใจว่าจะลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ แต่พอเข้าสู่ช่วง 90 วันของการเป็นสมาชิกพรรค มีการประกาศว่าจะลงสมัคร สส.เขต 4 สุพรรณบุรี จึงเป็นการเปิดศึกกับครอบครัวเที่ยงธรรมอย่างเป็นทางการ
ส่งผลให้จองชัยที่คิดจะวางมือทางการเมืองไม่อาจอยู่เฉยได้ จนต้องประกาศท้ารบกับครอบครัวโพธสุธนอย่างที่ปรากฏออกมา
จนถึงขณะนี้ปัญหาช้างชนช้างภายในพรรคก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขไปในทิศทางที่ดีมากนัก แม้ว่ากัญจนาในฐานะหัวหน้าพรรคจะออกมาขอความเมตตาจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็ตาม
“ผู้ใหญ่ที่ร่วมทำงานภายในพรรคกว่า 40 ปี มีความผูกพันกันมากกว่าที่ใครจะพยายามสร้างความแตกแยก และเชื่อว่าผู้ใหญ่จะให้ความเมตตา เอ็นดู และอยู่เป็นกำลังที่เข้มแข็ง เหมือนเป็นกำแพงที่พึ่งให้เราก้าวไปข้างหน้า” กัญจนา ระบุ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2561
มาถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าพรรคชาติไทยพัฒนาออกตัวช้ากว่าพรรคการเมืองอื่นไปหลายขุม เนื่องจากยังวุ่นอยู่กับการพยายามแก้ไขปัญหาภายในพรรคที่เป็นเรื่องระดับช้างชนช้าง ไม่ใช่แค่เรื่องหัวหน้าพรรคกับลูกพรรคตามปกติ
การไม่มีผู้มากบารมีในพรรค เหมือนอย่างที่พรรคเคยมี “บรรหาร ศิลปอาชา” มีผลกระทบต่อการขับเคลื่อนพรรคระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด
ต่างกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เวลานี้ทยอยเปิดตัวผู้สมัครและนโยบายพรรค เพื่อดึงคะแนนให้กับตัวเองกันแล้ว แต่พรรคชาติไทยพัฒนายังไม่ได้ขยับในเรื่องนี้มากนัก
จุดนี้ความหวัง 25-30 ที่นั่ง ที่ต้องการรักษาไว้ อาจเป็นงานยากของพรรคไปเสียแล้ว แม้พรรคชาติไทยพัฒนาคงไม่โชคร้ายถึงขนาดเป็นพรรคต่ำสิบ แต่ถ้าไม่สามารถรักษาพื้นที่เดิมของตัวเองไว้ได้แล้ว แน่นอนผลกระทบต่อการดำเนินการทางการเมืองของพรรคในระยะยาวคงดูไม่ดีมากนัก
ศึกช้างชนช้างคราวนี้กลายเป็นพรรคชาติไทยพัฒนาที่กำลังจะแหลกลาญไปเสียเอง