คำวินิจฉัยกลางชี้ชัดต้องทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญ
เปิดคำวินิจฉัยกลางชี้ชัดการแก้รธน.หมวด 15/1 เปิดช่องยกร่างใหม่เป็นการแก้หลักการสำคัญที่ผู้สถาปนารัฐธรรมนูญต้องการคุ้มครอง จึงต้องถามประชาชนก่อน "คำนูญ"ชี้รัฐสภาลงมติวาระ 3 ไม่ได้
เมื่อวันที่ 15 มี.ค. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่คำวินิจฉัยกลางเรื่องการแก้ไขแก้ไขเพิ่มเติมของสมาชิกรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256(1) โดยระบุตอนหนึ่งว่า
การที่มี ส.ส. ยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ .. พุทธศักราช …. ทั้งสองฉบับต่อที่ประชุมร่วมกันรัฐสภาตามมาตรา 256 ซึ่งมีหลักการและเหตุผลให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น โดยมีเนื้อหาสาระในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และมาตรา 256/1 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามหมวดนี้ นั้น เห็นว่า แม้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นอำนาจที่ได้รับมอบมาซึ่งถูกจำกัดทั้งรูปแบบ กระบวนการ และเนื้อหา รัฐสภาจึงต้องทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบอย่างเคร่งครัด โดยไม่อาจกระทำนอกขอบของหน้าที่และอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ได้
“การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ยึดโยงกับหลักการพื้นฐานและให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมติมหาชน รัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 15 เพียงบัญญัติให้สามารถแก้ไข เพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้เท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติให้จัดทำขึ้นใหม่ทั้งฉบับ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้”
หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้วต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการให้ประชาชนพิจารณาเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วจึงนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว จึงนำประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป
นายไพบูลย์ นิติตะวัน สส.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ต้องฟังท่าทีของพรรคพลังประชารัฐ และ พรรคร่วมรัฐบาลก่อนต่อคำวินิจฉัยกลางที่ออกมา แต่เห็นว่า สามารถลงมติวาระ 3 ในการแก้ไขรธน. ได้ ส่วนใครจะโหวตอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบก้นไป ถ้าลงมติเห็นด้วยกับการแก้ไขรธน. ก็ต้องไปรับผิดชอบกันเอง
ด้าน นายคำนูณ สิทธิสมาน สว. กล่าวว่า คำวินิจฉัยกลางมีความชัดเจนมาก โดยเฉพาะ 3 ย่อหน้าสุดท้าย ศาลรธน.บอกว่าหมวด 15 ของรธน. 2560 ให้อำนาจให้แค่แก้ไขเพิ่มเติม ไม่ได้ต้องการให้แก้ไขทั้งฉบับ แต่การที่รัฐสภามีการแก้ไขมาตรา 256 และนำมาสู่การการงอกหมวด 15/1 ใหม่ ในวาระ 1-2 เป็นการนำไปสู่จัดทำรธน.ใหม่ทั้งฉบับ ย่อมเป็นการยกเลิกรธน.ฉบับ 2560 ซึ่ง หากรัฐสภาต้องทำเช่นนี้จำเป็นต้องถามประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารธน.ก่อนในขั้นตอนประชามติว่า เห็นควรให้จัดทำรธน.ใหม่หรือไม่ ส่วนตัวจึงเห็นว่า การลงมติในวาระ 3 จึงไม่สามารถกระทำได้