พธม.ใกล้อวสาน สนธิสร้างเกมส์ใหม่...สลัดทิ้งพรรคเหลือง
เป็นอาการแตกร้าวครั้งใหญ่ของแกนนำเสื้อเหลืองระหว่างแกนนำพันธมิตรกับพรรคการเมืองใหม่ที่มาจากท้องเดียวกัน....
เป็นอาการแตกร้าวครั้งใหญ่ของแกนนำเสื้อเหลืองระหว่างแกนนำพันธมิตรกับพรรคการเมืองใหม่ที่มาจากท้องเดียวกัน....
โดย...ทีมข่าวการเมือง
เป็นอาการแตกร้าวครั้งใหญ่ของแกนนำเสื้อเหลืองระหว่างแกนนำพันธมิตรกับพรรคการเมืองใหม่ที่มาจากท้องเดียวกัน
หลังจากสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำกลุ่มพันธมิตรฯประกาศว่า จะไม่ส่งผู้สมัคร สส.ลงเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองใหม่ ขณะที่แกนนำพรรคการเมืองใหม่ สมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคยังคงเดินหน้าที่จะส่งผู้สมัครลง สส. ไม่สนประกาศิตของ สนธิ
คำขู่ของ “สนธิ” เกิดขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยป่าวประกาศบนเวทีถึงมติแกนนำพันธมิตรว่า จะรณรงค์ให้ประชาชนไม่เลือกพรรคการเมืองใด หรือโหวตโน และเรียกร้องให้ปิดประเทศ 3 ปี โดยใช้โมเดลมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ให้มีนายกฯ พระราชทาน
สนธิ อ้างเหตุผลว่า ที่ชาติบ้านเมืองล่มสลายทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะประชาชน แต่เป็นเพราะนักการเมือง วันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองไหนมาเป็นรัฐบาล ก็ไม่มีวันที่จะทำเพื่อส่วนรวม ทุกอย่างทำเพื่อเงินและอำนาจทุกอย่าง
“ในเมื่อการเมืองมันเน่า มันเลวแบบนี้ แกนนำมีมติเสนอให้ ก.ม.ม.อย่าส่งคนลงเลือกตั้ง แต่ถ้า ก.ม.ม.ประชุมกันแล้ว หัวหน้าสาขาพรรคหลายคนอยากลงเลือกตั้ง เพราะคิดว่าตัวเองลงแล้วจะได้ ก็ให้บอกมา ถ้ายืนยันว่าจะลงเลือกตั้ง ถ้าอย่างนั้นเราจะประชุมแกนนำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อประกาศชัดเจนว่าจะยังมีสายสัมพันธ์กับพรรคการเมืองใหม่อยู่ หรือตัดพรรคให้ขาดออกไปเลย เพราะว่านี่คือพันธมิตร”
“วันนี้เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ไม่ใช่การสนองตัณหาของใครบางคนที่อยากจะลงเลือกตั้ง ถ้าคนบางคนในพรรคการเมืองใหม่คิดว่าจะอยู่ได้โดยไม่มีพันธมิตรก็ให้มันรู้ไป ...เราต้องให้โนโหวตกันทั้งประเทศ และเราในฐานะที่พันธมิตรเป็นผู้ให้กำเนิดพรรคการเมืองใหม่ พี่สมศักดิ์และสุริยะใสต้องประกาศตัวชัดเจนว่าจะอยู่กับพันธมิตร หรือจะอยู่พรรคการเมืองใหม่ ถ้าจะอยู่กับพันธมิตรก็ขอให้ลาออกจากพรรคการเมืองใหม่มา เราพูดมากี่ครั้งแล้วว่าพรรคการเมืองใหม่ก็คือเครื่องมือของพันธมิตร ใช่ไม่ใช่ พรรคการเมืองใหม่จะใหญ่กว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ไง”
ขณะที่สนธิ สั่งเด็ดขาด ห้าม “การเมืองใหม่” ส่งผู้สมัคร แต่ท่าทีของสมศักดิ์ยังคงเดินหน้าเมื่อล่าสุดเดินสายไป จ.พิจิตร บอกกับตัวแทนสาขาพรรคเหนือตอนล่าง จะส่งผู้สมัคร สส.แน่นอน แต่จะไม่ส่งหมด เน้นเฉพาะพื้นที่ที่มีโอกาส เช่น ตะวันออก ภาคเหนือตอนล่าง ภาคใต้
เหตุที่สนธิกลับลำทั้งที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นคนตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และฟูมฟักสร้างพรรคนี้โดยให้ “สมศักดิ์สุริยะใส” ไปรักษาฐานบัญชาการไว้โดยใช้ยุทธศาสตร์สองขา หวังมีที่นั่งในสภา เพราะพันธมิตรไม่สามารถปลุกกระแส สร้างพลัง ในช่วง 2 ปีกว่านี้ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
การตั้งพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2552 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการเริ่มชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มพันธมิตร 193 วันที่ไล่รัฐบาลสมัคร จากฉันทานุมัติของแกนนำ พธม.เอง เพราะเชื่อว่ากระแสเสื้อเหลืองน่าจะช่วยให้พรรคได้ที่นั่งโดยแย่งคะแนนจากพรรคประชาธิปัตย์
แต่เมื่อพลังที่ร่วมไล่กับ พธม.เป็นแฟนคลับประชาธิปัตย์ส่วนใหญ่ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล พลังของ พธม.จึงลดน้อยลง
โดยเฉพาะเมื่อ พธม.ประกาศเป็นศัตรูกับอภิสิทธิ์ บรรดาแม่ยกมาร์คไม่เข้าใจสนธิทำไมต้องขัดขากันเองทั้งที่ศัตรูร่วมเดียวกันคือ “ระบอบทักษิณ” ปลุกม็อบเท่าไรจึงไม่ขึ้น ไม่ว่าจะชุมนุมคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญปลายปีที่แล้ว หรือจะคัดค้าน แสดงจุดยืนต่อต้านกัมพูชาที่ล้ำดินแดนไทย รวมถึงการออกมาโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่า เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ยิ่งชุมนุมก็ยิ่งหมดพลังไปเรื่อยๆ
พรรคการเมืองใหม่เองที่ผ่านมา ได้ทดสอบสนามเลือกตั้งไปแล้ว ด้วยการส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพฯ (สก.) ล็อตใหญ่ เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมา แต่ก็ล้มเหลว แพ้ราบคาบ ทั้งที่มีตัวเก็งที่ย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์ย้ายมาลง สุดท้ายไม่ได้แม้แต่ที่นั่งเดียว โดยมีบทสรุปว่า สู้พรรคการเมืองในระบบไม่ได้โดยเฉพาะในเมืองกรุง ที่ประชาธิปัตย์มีเครือข่าย หัวคะแนนดีกว่า
ส่วนการเลือกตั้งซ่อม สส.ใน กทม. หรือในต่างจังหวัดช่วงสองปีที่ผ่านมา พรรคการเมืองใหม่ไม่ได้ส่งใครสู้เพราะความไม่พร้อม
แม้ว่าแกนนำพันธมิตรจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยที่จะต้องชุมนุมยืดเยื้อที่ลากยาวมาร่วมสองเดือน เพราะเป็นการทำลายตัวเอง อีกทั้งสนธิก็ฆ่าแนวร่วมหมด ใครเห็นต่างหรือเสนอแนะให้ยุติชุมนุม ก็โจมตีจนพันธมิตรต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
2 เดือนที่ผ่านมา พันธมิตรค่อนข้างช้ำ ส่วน “การเมืองใหม่” ก็ปลุกไม่ขึ้น
การชุมนุมของ พธม.หนนี้ก็ชัดเจน ยิ่งนานวันแกนนำก็ยิ่งเปิดเผยวาระลึกๆ ที่ต้องการให้ “อำนาจพิเศษ” เข้ามาแทรกแซง เป็นกลิ่นอายที่เรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหารทั้งปีกเหลือง ในเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และในกลุ่มพันธมิตรใหญ่
จนเมื่อเข้าสู่โหมดเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ แกนนำพันธมิตรต้องตัดสินใจว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร
ถ้าจะส่งคนลงเลือกตั้งก็ชัดเจนว่า พธม.ต้องทุ่มปัจจัยลงในพรรคการเมืองใหม่ ทุนรอนขณะนี้อยู่ในช่วงขัดสน และก็หวังไม่ได้ว่าจะได้ สส.เป็นกอบเป็นกำ หรือ 20 เสียงอย่างที่พันธมิตรเคยตั้งเป้า หากจะลงแรงไปก็เท่ากับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
แต่ถ้าหวังไม่เกิน 5 เสียง ก็พอจะได้จากระบบปาร์ตี้ลิสต์ ที่สมศักดิ์ หัวหน้าพรรค และสุริยะใส เลขาธิการพรรค จะต้องลงสมัครในลำดับ 1-2 อยู่แล้ว
โอกาสของสมศักดิ์ กับ สุริยะใส สองอันดับแรก ที่จะได้รับเลือกเป็น สส. จึงมีสูง เพราะคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ที่จะได้คือ 5 แสน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชาวเสื้อเหลือง
แกนนำพรรคการเมืองใหม่จึงไม่เห็นด้วยกับสนธิเพราะเดินสายทำพรรคไปนาน และได้ติดต่อกับเครือข่ายในการเตรียมตัวลงสมัคร สส.ตามภูมิภาคต่างๆ และการกลับลำการต่อสู้ โดยปฏิเสธการเมืองในระบบรัฐสภาอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับเดินกลับสู่การเมืองแบบเก่าชูนายกฯ พระราชทาน
ขณะที่แกนนำพันธมิตรรู้ว่า การลงมาเล่นในกระดานที่นักเลือกตั้งถนัด นอกจากจะไม่มีทางสู้ได้แล้ว ขบวนเหลืองยังจะหมดราคาไปเรื่อยๆ จึงต้องสร้าง “เกมใหม่” รณรงค์ “โหวตโน” ไปช้อนเอากลุ่มประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจพรรคใดที่มีอยู่ 50-60% ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ก่อนเลือกตั้งจะมีกลุ่มที่ยังลังเล รอจนกว่าโค้งสุดท้ายจะมาถึง
และทุกครั้งก็จะมี “กลุ่มโหวตโน” ที่เบื่อหน่ายการเมืองไม่เกิน 10% ในการเลือกตั้ง แต่ใช่ว่ากลุ่มนี้จะยืนข้างพันธมิตร เพียงแต่พันธมิตรมองไปข้างหน้า และเตรียมเหมารวมว่า นี่เป็นกลุ่มเสื้อเหลืองที่ไม่เอาฝ่ายใดและหนุนเคียงข้างสนธิเพื่อเคลมว่าเป็นแนวร่วมของพันธมิตรที่เอากับมาตรา 7
เมื่อสนธิยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในขบวนการเสื้อเหลืองและการเมืองใหม่ ดังที่เขาขู่ว่า ถ้าการเมืองใหม่ฝืนมติพันธมิตร ส่งใครลง พันธมิตรก็ต้องแตกหักกับพรรคการเมืองใหม่แน่ ทั้งหมดจึงอยู่ที่ “สมศักดิ์-สุริยะใส” ที่ต้องตัดสินใจว่า จะเลือกถูกลอยแพเพื่อสู้ส่งคนลงเลือกตั้ง หรือจะยอมทิ้งพรรคการเมืองใหม่ ที่อาจไปไกลถึงการยุบพรรคในอนาคต
เพียงแค่ 2 ปี พรรคน้องใหม่ แต่ดูเหมือนเผชิญวิบากกรรมมาแบบหลายสิบปี และอนาคตที่ไม่แน่นอน พร้อมกับชะตากรรมของพันธมิตรในภาวการณ์การต่อสู้ที่ถูกตีกรอบมากขึ้น และกัดกินตัวเองลงเรื่อยๆ