SEAC ตอกย้ำภาพผู้นำด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิด SEAC’s SMART Learning
SEAC ตอกย้ำภาพผู้นำด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดตัวนวัตกรรม SEAC’s SMART Learning แก้ Pain Point การเรียนที่ไม่ใช่แค่ได้รู้ แต่ต้องนำไปปรับใช้ได้จริงกับทั้งบุคคล และองค์กร
การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล และเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดทำให้โลกหมุนเร็ว อย่างฉุดรั้งไม่อยู่ สังคมจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายมิติทั้งการเรียน การใช้ชีวิต และการทำงาน ความรู้และทักษะที่สำคัญในยุคหนึ่ง อาจไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อีกต่อไป และยิ่งมีอายุการใช้งานสั้นลง คนจำนวนมากจึงต้องกระตุ้นพัฒนาความรู้ และทักษะในการทำงานและการใช้ชีวิตให้ขยับเท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และองค์กรที่สังกัด ผ่านการเรียนรู้จากการรับข่าวสารข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง และการเข้าอบรมหลักสูตรจากผู้เชี่ยวชาญตามสถาบันต่างๆ แต่ด้วยข้อจำกัด และศักยภาพพื้นฐาน ประกอบกับรูปแบบการสอนที่เน้นหลักทฤษฎีนั้น อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนได้อย่างแท้จริง นำไปสู่การสูญสิ้น ความเชื่อมั่นในการพัฒนาตนเอง จนกลายเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม
“ความรู้มากมาย แต่หยิบจับมาใช้ได้ยากเกิน” ปัญหาใหญ่ของการเรียนรู้รูปแบบเก่า
ดร. สิรยา คงสมพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส SEAC (ซีแอค) กล่าวว่า “ปัจจุบัน ภาพรวมตลาดธุรกิจด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและองค์กร (Corporate Training) ของประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังโควิด-19 ที่ผู้คนพยายาม Reskill ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง แต่จากงานวิจัยพบว่ากว่า 75% ของผู้เรียนไม่ได้รู้สึกว่าการเข้าฝึกอบรมมีประสิทธิภาพจริง และกว่า 88% ของผู้เข้าเรียนไม่สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ ในการทำงานได้ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มาก หากเทียบกับตัวเลขผู้เข้าเรียนและเม็ดเงินที่ใช้จ่ายให้กับอุตสาหกรรมนี้
ด้วยเหตุนี้เอง SEAC (ซีแอค) จึงได้คิดค้นนวัตกรรม “SEAC’s SMART Learning” เอกสิทธิ์เฉพาะของเรา เพื่อประกาศความพร้อมที่เป็นผู้นำในตลาดธุรกิจการพัฒนาตนเองและองค์กร โดยการเรียนรู้แบบ SEAC’s SMART Learning ประกอบไปด้วย 4Line Learning, 5Phase Development และ 6 Learning Labs ซึ่งจุดเด่นของโปรแกรมนี้ คือการจับทุก Pain Point (จุดที่สร้างความเจ็บปวด) ของการเรียนรูปแบบเก่ามาปรับใหม่ โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เน้นผลลัพธ์ที่นำไปปรับใช้ได้จริง ด้วยวิธีการเรียนที่ยืดหยุ่นสำหรับแต่ละบุคคล เน้นการเชื่อมโยงให้ผู้เรียนเห็นว่าจะนำความรู้ไปใช้พัฒนางานต่อได้อย่างไร เห็นคุณค่าของการเรียนและการปรับใช้ ตลอดจนสามารถติดตาม และวัดผลการพัฒนาเชิงพฤติกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเครื่องมือ นวัตกรรม แนวทางการเรียนรู้ และสังคมแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) ที่สามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ต่อยอดและแบ่งปันความคิดของกันและกัน ที่ช่วยให้ผู้เรียนสนุก มีส่วนร่วม เรียนได้อย่างต่อเนื่อง และนำไปใช้ได้จริง”
SEAC’s SMART Learning นวัตกรรมเพื่อการเรียนในโลกยุคใหม่
ด้านคุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง SEAC (ซีแอค) เผยว่า “จุดเริ่มต้นคือ การให้ผู้เรียนตระหนักถึงความสำคัญของการเรียน เพื่อให้รู้สึกอยากเรียนด้วยตัวเอง และมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนั้น SEAC (ซีแอค) จึงออกแบบและพัฒนาหลักสูตร เพื่อที่จะตอบวัตถุประสงค์ในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างทั่วถึง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงกับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล SEAC (ซีแอค) เชื่อว่าการลงพื้นที่ปฏิบัติจริงตั้งแต่อยู่ในหลักสูตร คือหนทางหนึ่งที่จะทำให้จุดมุ่งหมายดังกล่าวเกิดขึ้นจริงได้ เราได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ‘6 Learning Labs’ ซึ่งหมายถึงพื้นที่แห่งการลงมือปฏิบัติจริง ร่วมกับผู้เรียนคนอื่นๆ ประกอบด้วย 1) Unpacking – แล็บที่จะช่วยให้ผู้เรียนทบทวนและเข้าใจเนื้อหา เครื่องมือ และโมเดลที่เรียนมาในเชิงลึกและประยุกต์ใช้ได้ 2) S.T.A.R.2 Application & Reflection - การตั้งเป้าหมาย กำหนดวิธีการลงมือ และเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ โดยใช้โมเดล S.T.A.R.2 Situation, Try, Actions, Result & Reflect 3) Skills Practice - สนามฝึกซ้อมทักษะ สร้างความมั่นใจก่อนลงมือใช้จริง เน้นการฝึกฝนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อหรือการใช้เครื่องมือต่างๆ 4) Coaching - ผู้เชี่ยวชาญให้เครื่องมือ และสนับสนุนผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อติดตามความคืบหน้าของเป้าหมายที่โค้ชและผู้เรียนตั้งไว้ร่วมกัน 5) Impact Presentations - แล็บที่จะให้ประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนกับงานจริงผ่านโปรเจ็กต์การเรียนรู้ แล้วกลับมานำเสนอผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้น รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ เป็นการสะท้อนถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการเรียนรู้ และการลงมือทำจริงของผู้เรียน และ 6) Communities of Practice – การแลกเปลี่ยนความรู้ทักษะ และประสบการณ์ เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนร่วมกันในชุมชนแห่งการเรียนรู้
ในโลกยุคใหม่ การตั้งโจทย์เพื่อออกแบบหลักสูตรให้คนสามารถนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้ได้จริง จะไม่ใช่แค่ ‘ใคร - เรียนอะไร – ได้ข้อสรุปอย่างไร’ แต่จะเป็นการเริ่มต้นจาก ‘เรียนเพื่ออะไร – เรียนอย่างไร – แล้วจะนำไปใช้ได้อย่างไร’ ผู้เรียนจะต้องเข้าใจมีความเชื่อมั่นว่าการเข้าเรียนจะทำให้ตนเองได้รับผลลัพธ์ที่ดี มีการสำรวจพฤติกรรม เพื่อตั้งเป้าที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ผ่านการแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกันใน Community นำไปสู่การสร้างกรอบความคิดและทักษะที่เชื่อมโยงเนื้อหาต่างๆ เข้ากับบริบทของตัวผู้เรียน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเน้นการใช้เครื่องมือที่หลากหลายอย่าง ‘4Line Learning’ รูปแบบการเรียนรู้ที่ออกแบบมาให้ผู้เรียนได้รับผลลัพธ์สูงสุด โดยสามารถเรียนได้ทุกที่ ตามช่วงเวลาที่ต้องการ มาใช้ควบคู่กับ 5Phase Development กรอบการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่คำนึงถึงบริบทของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ชุดทักษะ ชุดเครื่องมือ และกรอบความคิดใหม่ๆ ประกอบไปด้วย 5 เฟส ได้แก่ 1) Introduce & Enroll - กิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนเล็งเห็นความสำคัญและผลลัพธ์ที่ดี ผ่านเครื่องมือสร้างแรงบันดาลใจรูปแบบต่างๆ เพื่อเปิดประตูสู่ความรู้สึกอยากเรียนรู้และพัฒนาตนเองที่มาจากตนเองโดยแท้จริง 2) Baseline & Measure - การสำรวจพฤติกรรมตัวเอง เพื่อค้นหาช่องว่างในการพัฒนาตนเองที่ตรงกับทั้งความต้องการ และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ 3) Connect & Inspire – การเข้าคอมมูนิตี้ เพื่อสร้างสายสัมพันธ์และแพชชั่นที่จะช่วยกันบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตนเองได้เร็วขึ้นผ่านการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยน และการเติมเต็มแรงบันดาลใจจากเพื่อนรอบตัว 4) Build & Integrate - ผู้เรียนสามารถสร้างกรอบความคิด และทักษะที่เชื่อมโยงกับตนเอง สู่การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิต โดยเชื่อมโยงเนื้อหา และเครื่องมือที่เรียนเข้าสู่สถานการณ์ และบริบทของผู้เรียน ให้รู้ว่าจะนำไปใช้จริงอย่างไร และ 5) Consolidate & Sustain – ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์ และการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน มีการวางแผนร่วมกันกับผู้เรียนคนอื่น เพื่อช่วยเหลือ แบ่งปันประสบการณ์ และความรู้ระหว่างกัน
“โดยเรากำลัง Reframe เครื่องมือและกระบวนทัศน์ต่างๆ ร่วมกับ Partners มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และองค์กร เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนได้อย่างสมบูรณ์”
เปลี่ยนองค์กรที่พลาด ให้เป็นองค์กรที่สมาร์ทได้อย่างไร
ด้านมิสเตอร์ เจมส์ เอนเกล (James R. Engel) Chief Learning Architect, SEAC (ซีแอค) ได้เน้นย้ำหัวใจในการออกแบบ และสร้างการเรียนรู้ที่นำไปสู่ผลลัพธ์การปรับใช้ได้จริงว่า “ที่ผ่านมา SEAC (ซีแอค) มีผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 2 ล้านคน สร้างอัตราความสำเร็จหลักสูตรได้ถึง 77% และ 95% ของผู้เรียนกล่าวว่าสามารถนำความรู้ และทักษะออกไปใช้สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ทั้งนี้ SEAC (ซีแอค) ยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านการเรียนรู้
ที่นำไปปรับใช้ได้จริง (Empower Lives Through Learning) โดย SEAC’s SMART Learning จะเป็นโซลูชั่นที่อำนวย
ความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกตั้งแต่ฐานรากของชีวิต ไปจนถึงระดับองค์กรได้ โดยมีตัวชี้วัดเป็น 6 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1) บริบท: ดังคำกล่าวของแกรี่ เวเนอร์ชัก นักธุรกิจชื่อดัง "หากเนื้อหาคือราชา บริบทก็คือพระเจ้า" เราจึงให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ และออกแบบประสบการณ์การเรียนโดยคำนึงถึงบริบทการทำงานของผู้เรียนเป็นหลัก 2) การประยุกต์ใช้: เน้นช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหากับบริบทของตนและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง 3) ความยืดหยุ่นและความมุ่งมั่น: มีวิธีการเรียนรู้และช่องทางเพิ่มพูนทักษะที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีตัวเลือก เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และช่วยให้ความมุ่งมั่นในการเรียนสูงขึ้น 4) เน้นการแบ่งปันความคิดอย่างแท้จริง: ใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อผู้เรียน แบ่งปัน และฝึกปฏิบัติไปด้วยกัน 5) ให้การสนับสนุน: มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ และ 6) เริ่มต้นที่ตัวตนของแต่ละคน: ช่วยให้ผู้เรียนเห็นว่า พวกเขาอยู่จุดไหนและต้องการอะไรจากการเรียน
“เราต่างรู้กันดีว่าการเรียนรู้รูปแบบเดิมนั้นอาจไม่สามารถนำไปสู่การปรับใช้ได้อย่างแท้จริง และในอนาคตอันใกล้ เป็นไปได้สูงที่ AI จะมีบทบาทในการเป็นผู้ช่วยใช้ชีวิตของพวกเราทุกคนมากยิ่งขึ้น เราจะพัฒนาตนเองเพื่อเตรียมพร้อมรับมือและคว้าโอกาสใหม่ๆ อย่างชาญฉลาด หรือจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ พาให้เราถอยหลังไม่ทันโลก หัวใจสำคัญในการพัฒนาคนและองค์กรสำหรับโลกยุคนี้ คือ รูปแบบและวิธีการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนนำไปปรับใช้ได้จริง และสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับการทำงานและการใช้ชีวิตได้อย่างยั่งยืน” มิสเตอร์เจมส์ กล่าวทิ้งท้าย