posttoday

เอ็มบีเคกางมาสเตอร์แพลนพัฒนาที่ดิน1.5พันไร่ปทุมธานี

05 สิงหาคม 2559

จากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในกรุงเทพฯ ที่มีความรุนแรง ประกอบกับที่ดินที่มีศักยภาพเริ่มหาได้ยากขึ้น และราคาทะยานขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัท เอ็ม บี เค เริ่มมองโอกาสในตลาดชานเมืองที่ใกล้กับกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ

โดย...จะเรียม สำรวจ

จากการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกในกรุงเทพฯ ที่มีความรุนแรง ประกอบกับที่ดินที่มีศักยภาพเริ่มหาได้ยากขึ้น และราคาทะยานขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัท เอ็ม บี เค เริ่มมองโอกาสในตลาดชานเมืองที่ใกล้กับกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งศึกษาความเป็นไปได้ว่าจะใช้ที่ดินแปลงไหนพัฒนาธุรกิจในเครือเพื่อต่อยอดรายได้ในอนาคต

แม้ว่าขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะขยายธุรกิจไปในหัวเมืองใดจังหวัดไหน แต่บริษัท เอ็ม บี เค ก็มีอีกหนึ่งทำเลที่ทำการศึกษาเรียบร้อยแล้วและพร้อมเดินหน้าพัฒนาทันที คือ ที่ดินแปลงใหญ่ในย่านถนนติวานนท์ ต.บางกะดี จ.ปทุมธานี ซึ่งล่าสุดได้ประกาศมาสเตอร์แพลน 10 ปีพัฒนาที่ดิน 1,500 ไร่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ได้ทำการพัฒนาที่ดินบางส่วนไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล โครงการบ้านเดี่ยวพาร์ค ริเวอร์เดล ซึ่งจะเป็นบ้านระดับกลางราคาขายเริ่มต้นที่ 6.49-13 ล้านบาท และโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ริเวอร์เดล เรสซิเดนซ์ ราคาขายเริ่มต้น 30-36 ล้านบาท

โครงการต่อไปที่บริษัท เอ็ม บี เค จะดำเนินการพัฒนาบนที่ดินย่านปทุมธานี คือ ธุรกิจค้าปลีกประเภทคอมมูนิตี้มอลล์ เนื่องจากที่ดินผืนดังกล่าวเริ่มมีความเป็นชุมชนมากขึ้น ภายหลังจากเข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ประกอบกับเมืองเริ่มมีการขยายตัวไปรอบนอกมากขึ้น จึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ และตัดสินใจนำธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์เข้าไปเปิดให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่พักอาศัยอยู่ภายในโครงการที่อยู่อาศัยในเครือ และลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสนามกอล์ฟ รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าใกล้เคียงในรัศมี 8-10 กม.

สุเวทย์ ธีรวชิรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการบริษัท เอ็ม บี เค กล่าวว่า ที่ดินที่จะนำมาพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์ในย่านปทุมธานีคาดว่าน่าจะใช้ประมาณ 15-16 ไร่ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 500-800 ล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดและออกแบบโครงการ ซึ่งเร็วๆ นี้น่าจะได้ข้อสรุป โดยในเบื้องต้นประมาณการว่าจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในปี 2560
 
นอกจากจะพัฒนาโครงการในส่วนของคอมมูนิตี้มอลล์แล้ว บริษัท เอ็ม บี เค ยังมีความสนใจที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม เพื่อให้ที่ดินผืนดังกล่าวมีความเป็นชุมชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลังจากดำเนินการพัฒนาคอมมูนิตี้มอลล์ ก็มีแผนที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มเติม โดยเบื้องต้นมีแผนจะใช้ที่ดินที่เหลืออีกประมาณ 300-400 ไร่ พัฒนาที่อยู่อาศัยอีกไม่ต่ำกว่า 1,000 ยูนิต แต่จะเป็นแนวไหนนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา

สุเวทย์ กล่าวว่า การพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ใน จ.ปทุมธานี นั้น เดิมมีแผนที่จะพัฒนาโครงการต่างๆ มานานแล้ว แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีปัจจัยลบหลายเรื่อง ทำให้ต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำให้การลงทุนพัฒนาธุรกิจในช่วงนี้ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว เช่นเดียวกับปีนี้ที่บริษัทยังคงต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังตัเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังคงศึกษาแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังคงมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของธุรกิจค้าปลีก นอกจากจะให้ความสนใจลงทุนในส่วนของธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์แล้ว ในด้านของโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และโครงการมิกซ์ยูส ก็ให้ความสำคัญ เช่นกัน

สุเวทย์ กล่าวอีกว่า หากเป็นการลงทุนธุรกิจศูนย์การค้า หรือโครงการมิกซ์ยูส ทำเลที่มีความเหมาะสมจะทำธุรกิจดังกล่าวได้ยังคงเป็นในกรุงเทพฯ ซึ่งเทรนด์การลงทุนธุรกิจในอนาคตจะให้น้ำหนักกับรูปแบบดังกล่าว แต่เนื่องจากขณะนี้บริษัทยังไม่มีที่ดินผืนใหญ่ที่จะพร้อมพัฒนาโครงการลักษณะนี้ จึงทำให้ยังต้องทำการศึกษา และมองหาทำเลที่มีความเหมาะสมต่อไป ประกอบกับปัจจุบันที่ดินแปลงใหญ่ในกรุงเทพฯ เริ่มหายาก และหากมีส่วนใหญ่ก็จะเป็นของหน่วยงานราชการ ซึ่งหากทำเลไหนมีศักยภาพและภาครัฐเปิดให้ภาคเอกชนเข้าไปประมูลบริษัทก็มีความพร้อม

ด้านแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจโรงแรม และธุรกิจการเงินเป็นหลัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่ดีทั้งในด้านรายได้และผลกำไร เห็น ได้จากอัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเข้าพักสูงถึง 80% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตราการเข้าพักเพียง 60-70% เท่านั้น
   
ในส่วนของธุรกิจการเงินก็มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีการปล่อยสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ได้เพิ่มขึ้น จึงทำให้ครึ่งปีที่ผ่านมาธุรกิจดังกล่าวมีรายได้เติบโตสูงถึง 20% สวนทางภาพรวมธุรกิจอาหาร ธุรกิจกอล์ฟ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสนับสนุน และธุรกิจอื่นๆ ที่มีอัตราการเติบโตของรายได้อยู่ในภาวะทรงตัว

ดังนั้น แผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังบริษัท เอ็ม บี เค จึงจะเน้นการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในส่วนของธุรกิจโรงแรม และธุรกิจการเงินมากขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจโรงแรมจะทำการตลาด เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพักโรงแรมในเครือมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจการเงินก็จะเน้นการปล่อยสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ แม้ว่าธุรกิจศูนย์การค้าจะมีอัตราการเติบโตชะลอตัว แต่หากมองในด้านของธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท เอ็ม บี เค ธุรกิจศูนย์การค้ายังคงเป็นธุรกิจหลักในการสร้างรายได้ ด้วยสัดส่วนประมาณ 40% โดยมีศูนย์การค้าเอ็มบีเคเป็นตัวสร้างรายได้หลัก ซึ่งปัจจุบันกำลังปรับปรุงพื้นที่ศูนย์การค้าด้านนอก และสกายวอล์ก เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนมากถึง 60% ที่เหลืออีก 40% เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย

นอกจากนี้ ในส่วนของศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 บริษัท เอ็ม บี เค ก็มีแผนที่จะปรับปรุงพื้นที่บริเวณด้านหน้าเช่นกัน เพื่อให้มีพื้นที่ใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากจะให้ความสำคัญกับการปรับภูมิทัศน์ศูนย์การค้าแล้ว ยังมีแผนจะทำกิจกรรมส่งเสริการขายศูนย์การค้าดังกล่าวต่อเนื่อง โดยล่าสุดจัดงาน The Nine Fabulous 5th Anniversary เพื่อฉลองครบรอบ 5 ปี ของศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9

สำหรับภายในงานจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น Sight ชื่นชมความสวยงามตระการตาของ Vertical Garden Illumination สวนแนวตั้งที่ประดับประดาด้วยแสงไฟ, Touch สัมผัสธรรมชาติสร้างพื้นที่สีเขียวผ่านกิจกรรมการเวิร์กช็อป Let's the Green Grow สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการภายในศูนย์ฯ ครบ 500 บาทขึ้นไป, Taste ลิ้มรสชาติของความสดใหม่และความอร่อยของเมนูสุดพิเศษ, Smell ผ่อนคลายไปกับกลิ่นพันธุ์ไม้หอมจากดอกไม้งามนามพระราชทาน และ Hearing รับฟังบทเพลงหลากสไตล์ ในมินิคอนเสิร์ตของศิลปินชื่อดัง

หลังจากออกมาจัดกิจกรรมดังกล่าว บริษัท เอ็ม บี เค คาดการณ์ว่า ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มเป็นวันละ 1.35 หมื่นคน จากปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อวันอยู่ที่ประมาณ 1.2 หมื่นคน  ซึ่งจากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 มีรายได้อยู่ที่ 250 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 225 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมรายได้ของบริษัท เอ็ม บี เค ในสิ้นปีนี้ คาดว่าน่าจะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ 3-5% จากปีที่ผ่านมา 12,213 ล้านบาท แม้ว่าจะมีหลายธุรกิจมีรายได้ไม่เติบโต ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวบริษัท เอ็ม บี เค บอกว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะหากนำมาเปรียบเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจ และธุรกิจหลายๆ ตัวถือว่ายังดีกว่าอยู่มาก