SENA ช๊อตคัทต์ธุรกิจเทคโอเวอร์ 3 โครงการ 2 พันลบ.ขยายพอร์ตอสังหาฯ
SENA ปรับตัวรับตลาดอสังหาฯขาลงช่วงโควิด ควักเงิน 2,000 ล้านบาทกว้านซื้อคอนโด 3 แห่งปั้มยอดขายสร้างรายได้เร็ว พร้อมปั้นแบรนด์ใหม่ “FLEXI” เจาะกลุ่ม Gen Y& Z
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาวะเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัว กระทบต่อรายได้ของประชาชนลดลง และภาระหนี้สินครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในระดับสูงขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ถดถอยส่งผลให้กำลังซื้อขาดความเชื่อมั่น
ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เร่งเปิดโครงการใหม่จากความไม่แน่นอนของโควิด-19 แต่ในแง่ของผู้ซื้อที่มีความพร้อม ถือเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ เพราะราคาขายดร็อปลงมาค่อนข้างมาก อัตราดอกเบี้ยต่ำ
ทั้งนี้ภาพรวมภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยคาดว่าฟื้นตัวในปี 2565 หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายภายในสิ้นปีนี้ และวัคซีนเข้ามาในประเทศมากขึ้น คนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนมากกว่า 70% วิถีชีวิตคนเริ่มกลับมาทำงานมีรายได้ปกติ สังคมมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นก็จะส่งผลบวกต่อภาพรวมธุรกิจอื่นด้วย โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นปีที่ต้องมีการปรับตัวให้เร็วและให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรายวัน โดยทางเสนาพร้อมปรับตัว ปรับกลยุทธ์ใหม่ให้เหมาะกับสถานการณ์และกำลังซื้อในปัจจุบัน จากเดิมที่เน้นซื้อที่ดินเปล่ามาพัฒนาเองตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็ม แต่ปัจจุบันด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้มีโครงการที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินไปต่อไปไม่ได้หลายโครงการ ทำให้ทางเสนาเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้วยการเข้าเทคโอเวอร์โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งข้อดีคือ ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุน สามารถรับรู้รายได้ได้เร็ว ที่สำคัญคือ โครงการเหล่านี้อยู่บนทำเลที่ดีมีศักยภาพและบางโครงการมาพร้อมกับลูกค้าเก่าที่เตรียมพร้อมโอนแล้ว แต่ที่ผ่านมาอาจติดเรื่องเงินทุนหมุนเวียนเท่านั้น
ปัจจุบันทางเสนาเข้าซื้อโครงการแล้ว 3 ทำเล ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ย่านรัตนาธิเบศร์ 2.ย่านเจริญนคร 3.ย่านบางซื่อ - เตาปูน โดยทั้ง 3 โครงการ พัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ “เฟล็กซี่ (FLEXI)” แบรนด์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่ Gen Y & Gen Z และคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายในการใช้ชีวิตและสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองและพร้อมยืดหยุ่นได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาอีก 3 ทำเลที่จะเข้าไปซื้อโครงการมาพัฒนาต่อด้วย
สำหรับเป้ายอดขายในปีนี้ ทางบริษัทปรับลดลงเหลือ 7,111 ล้านบาท ส่วนยอดโอนของบริษัทได้ปรับลดลงมาเหลือ 6,943 ล้านบาท โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค. 64) บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 3,200 ล้านบาท ปัจจุบันยอดรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมด 7,052 ล้านบาท ( ณ สิ้นเดือน มิถุนายน 2564) สามารถรับรู้ในปีนี้ 3,689 ล้านบาท