ERA เปิดเกมรุกอสังหาทุกระดับ ชู AI หนุนโตฝ่าการเมืองกดดัน

ERA (THAILAND) โฟกัสตลาดอสังหาครึ่งปีหลังปี 2566 เริ่มมีสัญญานการฟื้นตัว ชี้ดีมานด์ต่างชาติเริ่มไหลเข้า โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยในระดับกลาง-บน แต่ยอมรับยังไม่คึกคักเท่าที่ควร เหตุกังวลด้านการเมือง ตั้งเป้าปีนี้เร่งยอดขายแตะระดับ 6,000 ล้านบาท ประกาศใช้ AI ‘CHAT GPT’ เสริมแกร่งทีมขาย มั่นใจช่วยหนุนแผนขยายสาขาครบ 50 สาขา พร้อมมีตัวแทนขายถึง 3,000 ราย ในสิ้นปีนี้

นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (ERA THAILAND) เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาโดยรวมของไทยมีการฟื้นตัวที่ค่อนข้างดี โดยมีความต้องการของลูกค้าชาวต่างชาติที่กลับเข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ไปจนถึงระดับลักชัวรี่และมีสัดส่วนการซื้อเพื่อลงทุนและซื้อเพื่ออยู่อาศัยในระดับที่ใกล้เคียงกัน แต่ต้องยอมรับว่าในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุน ค่อนข้างกังวลต่อปัจจัยกดดันการเมืองในประเทศที่ไม่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งยุโรปและจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาในเมืองท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต และหัวหิน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นตลาดที่ ERA รักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นว่าหากมีรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ จะผลักดันให้ตลาดอสังหาโดยรวมของไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น

ส่วนปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น มองมีผลกดดันเชิงจิตวิทยาในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากที่อยู่อาศัยในหลายๆ ทำเลยังสร้างยิลด์ได้ดี และลูกค้าส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจซื้อหรือเช่ายังเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพสูง

นายวรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ERA มีพอร์ตสินทรัพย์ราว 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 36% คอนโดมิเนียม 25% ทาวน์โฮม 10% ที่เหลือเป็นที่ดินเปล่าและอื่นๆ

ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการเติบโตด้านยอดขายในปีนี้ ERA จึงประกาศทรานฟอร์มธุรกิจ โดยเป็นบริษัทแรกของวงการที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ‘Chat GPT’ มาใช้ ด้วยการสนับสนุนจาก ERA Asia Pacific ทำให้Chat GPT โมเดลนี้ ได้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นโดย AI LAB เพื่อให้ตอบสนองต่อธุรกิจของ ERA โดยเฉพาะซึ่งจะช่วยให้ตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกของ ERA สามารถนำไปใช้เสริมประสิทธิภาพการขายได้ดีขึ้น

“โดยบริษัทมั่นใจว่าในปี 2566 นี้ ERA จะเติบโตตามเป้าหมายมียอดขาย 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 3,000 ล้านบาท และลูกค้าต่างชาติ 3,000 ล้านบาท และมีจำนวนตัวแทนขายที่แอคทีฟถึงระดับ3,000 ราย พร้อมขยายสาขาแฟรนไชส์ได้ครบ 50 สาขาตามแผน” นายวรเดชกล่าว