จากขวดพลาสติก ผลิตเป็นผ้าห่ม "กันหนาวให้คน-ให้โลก"
จากขวดน้ำพลาสติกขนาด 1.5 ลิตร 11 ขวด เป็นผ้าห่ม 1 ผืน ช่วยห่มคนคลายหนาว ห่มโลกให้ลดขยะ ลดมลพิษ ด้วยการมอบผ้าห่มอัพไซคลิง (Upcycling) ให้แก่ผู้ประสบภัยหนาว
หนึ่งในกิจกรรมช่วยสังคมช่วงหน้าหนาวคือการแจกผ้าห่มให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยหนาวในหลายจังหวัด เช่นเดียวกับโครงการ “ห่มรัก” ปีที่ 13 มอบผ้าห่มอัพไซคลิง (Upcycling) เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มแก่ผู้ประสบภัยหนาว ผ้าห่มกันหนาว 1 ผืน ผลิตจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้วขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 11 ขวด
ผ้าห่มดังกล่าวผลิตขึ้น โดยวิสาหกิจชุมชนบ้านวัดจากแดงเศรษฐกิจพอเพียง ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งผ้าห่มกันหนาว 1 ผืน จะผลิตจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้วขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 11 ขวด และฝ่ายจัดยังได้เพิ่มความหนาของผ้าห่มเป็น 280 GSM (Gram Per Square Meter) ทำให้มีความทนทานและมีความหนาเพียงพอที่จะให้ความอุ่นในช่วงเวลาหนาว
นอกจากนี้ยังมีผลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงถึง 0.99 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้ผ้าห่มไม่เพียงแค่อบอุ่นและมีคุณภาพดีต่อผู้ใช้งาน แต่ยังมีผลในการส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการผลิตผ้าห่มอัพไซคลิง (Upcycling) 1 ผืนเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหญ่ถึง 0.11 ต้น
นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่บริษัทฯ คงนโยบายและให้ความสำคัญคือการตอบแทนสังคมในด้านต่างๆ เพราะบริษัทฯ เล็งเห็นว่าการที่ธุรกิจจะสามารถดำรงอยู่และเติบโตได้นั้น ก็ต้องพึ่งพาสังคมและทรัพยากรที่มีอยู่บนโลก ธุรกิจที่เติบโตขึ้นจึงมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบและตอบแทนสังคมที่ให้การสนับสนุนทรัพยากรที่ธุรกิจได้ใช้ไป"
"โครงการ 'ห่มรัก' ปีที่ 13 นี้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของเมืองไทยประกันชีวิตที่ร่วมมือกับมูลนิธิเมืองไทยยิ้มเป็นโอกาสที่เราสามารถสร้างความดีได้ร่วมกันในการตอบแทนสังคม ไม่เพียงแค่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังสามารถสร้างความอบอุ่นและเป็นการดูแลช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยหนาวในต่างจังหวัด ทั้งนี้เรายังคงสานต่อโครงการเพื่อสังคมในด้านต่างๆ ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างให้มั่นคงและยั่งยืน" นายสาระ กล่าวสรุป.