ชี้ชัดอนาคตแนวโน้มรถ EV ราคาถูกลงอีก หลัง BYD จัดหนักลดราคาเกือบ 2 แสน
ข่าวการอัดโปรโมชั่นแบบจัดหนักของ BYD ที่จัดโปรโมชัน "BYD DOLPHIN DAY RUN OUT Campaign" ก่อนเปิดรุ่น CKD กรกฎาคมนี้ ลดราคาสูงสุด 1.6 แสนบาท ที่มานั้นเกิดจากราคาแบตเตอรี่ ที่ถูกลงและอาจถูกลงกว่านี้ในอนาคตด้วย
จากกรณีที่ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ประกาศโปรโมชันของรถ EV ในรุ่น BYD DOLPHIN ภายใต้แคมเปญ BYD DOLPHIN DAY RUN OUT Campaign โดยมอบส่วนลดราคาตั้งแต่ 1.4 -1.6 แสนบาท
เพื่อว่าในวันที่ 4 ก.ค. 2567 นี้ BYD จะเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD อย่างเป็นทางการที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จ.ระยอง ประเทศไทย และรถยนต์รุ่นเเรกที่ผลิตจากโรงงานประเทศไทย คือ BYD DOLPHIN
สาเหตุที่รถ EV ลดราคาลงได้แบบรุนแรง สาเหตุหลักมาจากการปรับราคาลงของ แบตเตอรี่ ลิเทียม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต่อการกำหนดราคารถ EV นั่นเอง
เปิดสาเหตุ BYD ปรับราคารถถูกลง เพราะราคาแบตเตอรี่ลงกว่า 40%
ก่อนหน้านี้ช่วงต้นเดือน มิ.ย. BYD ปรับราคาแบตเตอรี่ลงกว่า 40% ซึ่งทำให้ราคาแบตเตอรี่จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 500,000 – 650,000 บาท ลดลงมาเหลือ 300,000 – 450,000 บาท
หมายความว่าต้นทุนของรถ EV จะถูกลงตามไปด้วย รวมถึงราคาค่าซ่อมเองก็จะลดลงตามไปด้วยเช่นกัน แม้ว่า BYD จะไม่ได้แจ้งสาเหตุที่ว่าทำไมถึงลดราคาแบตเตอรี่ได้มากเกือบครึ่งของราคาเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ BYD ปรับราคาแบตเตอรี่ลง เพราะราคาวัตถุดิบที่นำมาทำแบตฯ อย่างลิเทียมลดลงกว่าเดิม 6 เท่า
เมื่อพิจารณาราคาลิเทียมในตลาดจะเห็นว่ามีการดีดตัวสูงขึ้นจากตันละ 200,000 หยวน ไปสู่ระดับ 500,000 หยวน ในปี 2022 และขยับขึ้นตลอดจนกลายเป็น All time high ที่เกือบตันละ 600,000 หยวนในปี 2023 ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดลงมาแตะระดับ 200,000 หยวนอีกครั้ง
แต่ปัจจุบัน ข้อมูลอัพเดตของเดือน มิ.ย. 2024 ราคาลิเทียม อยู่ที่ตันละ 97,500 หยวน และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อย ๆ จนอาจจะเห็นราคาของลิเทียมลงไปแตะระดับตันละ 39,500 หยวน เหมือนช่วงกลางปี 2020 (ช่วงโควิดรุนแรง) ซึ่งเป็นช่วงก่อนหน้าที่กระแส EV จะได้รับความนิยม จนความต้องการลิเทียมมากจนทะลุเพดานในปี 2022
ข้อมูลจาก nasdaq.com เผยตัวเลขให้เห็น ประเทศที่ผลิตลิเทียมได้มากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ ออสเตรเลีย ผลิตได้มากกว่า 86,000 ล้านตันต่อปี (สถิติปี 2023) , อันดับสองเป็นของประเทศชิลี ผลิตได้มากกว่า 44,000 ล้านตันต่อปี และอันดับสามคือจีน ผลิตได้มากกว่า 33,000 เมกะตันต่อปี
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจีนจะผลิตลิเทียมได้เป็นอันดับ 3 ของโลก ใแต่จีนมีหุ้นส่วนในเหมืองแร่ลิเทียมที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียด้วย เท่ากับว่าจีนแทบจะเป็นผู้ครอบครองลิเทียมเกินครึ่งหนึ่งของโลก จนพวกเขากลายเป็นผู้กำหนดราคาแบตเตอรี่และเป็นผู้ชี้ชะตาในสงครามรถ EV โลกได้เลย
ส่วนในอนาคต คาดการณ์กันว่าราคาลิเทียมจะปรับตัวลดลงจนกลับไปอยู่ในราคาปกติที่ควรเป็นอีกครั้ง สอดรับกับทุกค่ายรถหันไปพัฒนาแร่ธาตุอื่น อย่างแบตเตอรี่โซลิดสเตต เพื่อมาแทนลิเทียม และนั่นจะส่งผลให้ราคาลด EV ปรับตัวถูกลงกว่าเดิมอีกในอนาคต