posttoday

เปิดมุมมอง AI จัดอันดับเมืองสุดล้ำ เมืองน่าอยู่ เมืองยั่งยืนของโลกแห่งปี

01 มกราคม 2568

เมื่อ AI จัดอันดับเมืองน่าอยู่ เมืองยั่งยืน เมืองสุดล้ำแห่งยุคจะได้คำตอบแบบไหน ด้วยเหตุผลอะไร แล้วเมืองยอดแย่สุดๆ มีที่ไหนบ้าง กรุงเทพฯ น่าอยู่ไหมในมุมมองของ ChatGPT ไปหาคำตอบกัน

เริ่มจาก ChatGPT ที่ได้รับการโหวตว่าเป็น AI ที่ฉลาดที่สุดในยุคนี้ เมื่อให้จัดอันดับเมืองที่ทันสมัยที่สุดในโลกผลก็ออกมาดังนี้

 

เมืองที่มักได้รับการยกย่องว่าทันสมัยที่สุดในโลกได้แก่:

1. โตเกียว, ญี่ปุ่น: มีเทคโนโลยีล้ำหน้า การพัฒนาสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ผสมผสานกับการใช้ชีวิตที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

 

สิงคโปร์ (ภาพ pixabay)


2. สิงคโปร์: มีระบบขนส่งมวลชนที่ยอดเยี่ยม การจัดการเมืองอย่างเป็นระบบ และความสะอาดสะอ้าน เป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและทันสมัยที่สุดในโลก

 

3. ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: มีสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยและน่าทึ่ง เช่น ตึกเบิร์จคาลิฟา รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว

 

4. ซานฟรานซิสโก, สหรัฐอเมริกา: เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะในเขตซิลิคอนวัลเลย์ ที่มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกตั้งอยู่

 

5. โซล, เกาหลีใต้: มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะในด้านอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต

 

เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ (ภาพ pixabay)


6. เฮลซิงกิ, ฟินแลนด์: เป็นเมืองที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ และการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน

 

7. โตรอนโต, แคนาดา: เป็นเมืองที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเงินของแคนาดา

 

โตรอนโต แคนาดา (ภาพ pixabay)

 

2.

เมืองที่ล้ำสมัยที่สุดในเรื่องของความยั่งยืนในปัจจุบันคือ

1. โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก: เมืองนี้มีการตั้งเป้าหมายที่จะเป็นเมืองคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2025 มีการใช้พลังงานหมุนเวียน ระบบขนส่งมวลชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการใช้จักรยาน

 

2. สิงคโปร์: เป็นเมืองที่มีการวางแผนเมืองอย่างยั่งยืน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการน้ำและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โครงการ “Gardens by the Bay” เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำธรรมชาติเข้ามาในเมือง

 

อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ (ภาพ pixabay)

 

3. อัมสเตอร์ดัม, เนเธอร์แลนด์: เมืองนี้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนและการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการใช้จักรยานและระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกสบาย เมืองนี้ยังมีโครงการสร้างชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

 

4. เฮลซิงกิ, ฟินแลนด์: มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานหมุนเวียนและการส่งเสริมการสร้างอาคารที่ยั่งยืน เมืองนี้ยังมีการวางแผนเมืองที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวและการรักษาธรรมชาติ

 

5. สตอกโฮล์ม, สวีเดน: เป็นเมืองที่มีการใช้พลังงานหมุนเวียนและการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ เมืองนี้ยังมีการส่งเสริมการใช้พลังงานที่สะอาดและการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

 


ซูริก สวิตเซอร์แลนด์ (ภาพ pixabay)

 

6. ซูริก, สวิตเซอร์แลนด์: มีการใช้พลังงานหมุนเวียนและการจัดการขยะที่ดี มีการส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนที่สะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมืองนี้ยังมีการวางแผนเมืองที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของประชาชน

 

7. ไฟรบูร์ก, เยอรมนี: เป็นเมืองที่เน้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ การสร้างอาคารที่ยั่งยืนและการส่งเสริมการใช้จักรยาน เมืองนี้ยังมีการจัดการขยะและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ

 

เมืองเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการนำความยั่งยืนมาใช้ในการพัฒนาเมืองอย่างล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพ

 

แล้วเมืองที่ไม่น่าอยู่ที่สุดล่ะ แบบที่ปัญหามลพิษสุดๆ ไปเลย ไปดูกัน

 

เมืองที่มักได้รับการจัดอันดับว่าเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ที่สุดเนื่องจากปัญหามลพิษและปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้แก่:

 

นิวเดลี อินเดีย (ภาพ pixabay)

 

1. นิวเดลี, อินเดีย: มีปัญหามลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง ระดับฝุ่นละออง (PM2.5 และ PM10) สูงเกินค่ามาตรฐาน การจราจรที่หนาแน่นและการเผาขยะในที่โล่งเป็นสาเหตุสำคัญของมลพิษ

 

2. ลาฮอร์, ปากีสถาน: ประสบปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว มีการใช้ถ่านหินและยานพาหนะเก่าที่ปล่อยมลพิษมาก

 

3. คาบูล, อัฟกานิสถาน: มีมลพิษทางอากาศและน้ำสูง ขาดระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพและการจัดการขยะที่ดี


ธากา บังคลาเทศ (ภาพ pixabay)

 

4. ธากา, บังกลาเทศ: มีมลพิษทางอากาศและน้ำสูง การจราจรที่หนาแน่นและการเผาขยะในที่โล่ง รวมถึงการใช้ยานพาหนะเก่า

 

เตหะราน อิหร่าน (ภาพ pixabay)

 

5. เตหะราน, อิหร่าน: มีปัญหามลพิษทางอากาศจากยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรม การจราจรที่หนาแน่นและการเผาขยะ

 

6. ไคโร, อียิปต์: มีมลพิษทางอากาศสูง การจราจรที่หนาแน่นและการเผาขยะในที่โล่ง

 

มุมไบ อินเดีย (ภาพ pixabay)

 

7. มุมไบ, อินเดีย: มีมลพิษทางอากาศและน้ำสูง การจราจรที่หนาแน่นและการใช้ยานพาหนะเก่า

 

เมืองเหล่านี้มักประสบปัญหาจากการเจริญเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว ขาดการวางแผนและการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้เกิดปัญหามลพิษที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

 

แล้วกรุงเทพในมุมดงของ ChatGPT น่าอยู่ไหม

กรุงเทพมหานครมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาเมื่อตัดสินใจว่าจะน่าอยู่หรือไม่:

 

ข้อดี

1. วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์: กรุงเทพฯ มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมาย เช่น วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง และวัดอรุณราชวราราม

2. อาหาร: มีอาหารหลากหลายและอร่อย ตั้งแต่ร้านอาหารระดับหรูไปจนถึงอาหารข้างทาง

3. การช็อปปิ้ง: มีแหล่งช็อปปิ้งมากมาย เช่น สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และตลาดจตุจักร

4. ค่าครองชีพ: ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ โดยทั่วไปถือว่าถูกเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในประเทศอื่น ๆ

5. ความสะดวกสบาย: มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ มากมาย เช่น โรงพยาบาลที่มีคุณภาพสูง โรงเรียนนานาชาติ และระบบขนส่งสาธารณะ

 

ข้อเสีย

1. การจราจร: การจราจรที่หนาแน่นเป็นปัญหาสำคัญในกรุงเทพฯ ซึ่งอาจทำให้การเดินทางใช้เวลานาน

2. มลพิษทางอากาศ: กรุงเทพฯ มักมีปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว

3. น้ำท่วม: กรุงเทพฯ มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ในช่วงฤดูฝน

4. ความหนาแน่นของประชากร: มีประชากรหนาแน่นและความแออัดในบางพื้นที่

 

สรุป

กรุงเทพฯ อาจเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับคนที่ชื่นชอบความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาหารอร่อย และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่ก็มีปัญหาที่ควรพิจารณา เช่น การจราจรและมลพิษทางอากาศ คนที่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตในเมืองใหญ่และสามารถรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้อาจพบว่ากรุงเทพฯ เป็นที่น่าอยู่