posttoday

ส่องประวัติศาสตร์ฝุ่น PM2.5 The Great Smog of London และภัยฝุ่นทั่วโลก

14 มกราคม 2568

แท้แล้วปัญหาฝุ่นละอองในอากาศเคยเกิดขึ้นหลายครั้งทั่วโลก ครั้งสำคัญ เป็นที่จดจำ และได้กลายเป็นกรณีศึกษาก็คือ The Great Smog of London ในปี ค.ศ. 1952 หรือเมื่อ 70 กว่าปีก่อน และในอีกหลายประเทศทั่วโลก สาเหตุหลักๆ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากฝีมือมนุษย์!

PM 2.5 (Particulate Matter 2.5) คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เจ้าปัญหาที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือดได้ง่าย สาเหตุหลักของการเกิด PM 2.5 มาจาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน การเผาในที่โล่ง เช่น การเผาไร่ การเผาป่า กิจกรรมก่อสร้างต่างๆ สร้างฝุ่นจากการขุด เจาะ และรื้อถอน และสุดท้ายปัจจัยธรรมชาติ เช่น ฝุ่นทะเลทราย ละอองเกสร หรือควันจากภูเขาไฟ

 

ประวัติศาสตร์ของปัญหาฝุ่น PM2.5 ทั่วโลก

 

ส่องประวัติศาสตร์ฝุ่น PM2.5 The Great Smog of London และภัยฝุ่นทั่วโลก

 

The Great Smog of London 

หมอกควันจากการเผาถ่านหินหนาทึบปกคลุมมหานครลอนดอนนาน 5 วัน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5-9 ธันวาคม ค.ศ. 1952 ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเบื้องต้นประมาณ 4,000 คน แต่การศึกษาภายหลังพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจมากถึง 12,000 คน และมีประชาชนกว่า 100,000 คนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ

 

สาเหตุสำคัญมาจาก การเผาถ่านหินคุณภาพต่ำ เนื่องจากช่วงฤดูหนาวประชาชนใช้ถ่านหินกำมะถันสูงในการให้ความร้อน ทำให้โรงไฟฟ้าในเมืองก็ใช้ถ่านหินคุณภาพต่ำเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

 

สาเหตุต่อมาคือจากสภาพอากาศ ความกดอากาศสูงปกคลุมเมือง ทำให้อากาศนิ่งและไม่มีลมพัด หมอกหนาผสมกับควันจากโรงงานและยานพาหนะจึงก่อให้เกิดมลพิษสะสม

 

ยิ่งกว่านั้นยังเกิดจากมลพิษจากอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และฝุ่นละอองขนาดเล็กจากโรงงานอุตสาหกรรมทำให้มลพิษเพิ่มขึ้น


The Great Smog of London (ภาพจาก Britanica)


ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ มีผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอักเสบและปอดบวมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้รับผลกระทบหนักที่สุด

 

ส่งผลต่อการคมนาคม การเดินทางด้วยรถยนต์และระบบขนส่งสาธารณะเกือบหยุดชะงักเนื่องจากทัศนวิสัยต่ำ เพราะสภาพถนนถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนมองเห็นได้เพียงไม่กี่เมตร

 

ธุรกิจหยุดชะงัก การค้าขายลดลง โรงละครและกิจกรรมกลางแจ้งต้องยกเลิก

 

การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์

รัฐบาลอังกฤษออกกฎหมาย Clean Air Act (1956) เพื่อควบคุมการปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น มีการกำหนดมาตรการควบคุมการใช้ถ่านหิน จำกัดการเผาถ่านหินในเขตเมือง และส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานทางเลือก

 

บทเรียนสำคัญ

• เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมมลพิษทางอากาศทั่วโลก

• แนวทางและกฎหมายที่พัฒนาขึ้นหลังเหตุการณ์ยังคงเป็นต้นแบบในการจัดการมลพิษทางอากาศในหลายประเทศ

 

เหตุการณ์หมอกควันพิษที่คล้ายกับ The Great Smog of London ก็มีอีกเช่น

 

The Donora Smog (1948) สหรัฐอเมริกา เมืองโดโนรา รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงวันที่ 26-31 ตุลาคม 1948 สาเหตุจากควันพิษจากโรงงานโลหะซัลเฟอร์ไดออกไซด์และฝุ่นละอองสะสมในหุบเขาที่สภาพอากาศนิ่ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และประชาชนกว่า 6,000 คน (ครึ่งหนึ่งของประชากรในเมือง) มีปัญหาสุขภาพ หลังจากนั้นจึงเกิดการผลักดันกระตุ้นให้เกิดการออกกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศในสหรัฐฯ เช่น Clean Air Act (1970)

 

ภาพเมืองฮาร์บิน (ภาพ Wikipedia)


Harbin Smog (2013) เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮย์หลงเจียง ประเทศจีน ในเดือนตุลาคม 2013 จากการเผาถ่านหินเพื่อให้ความร้อนในฤดูหนาว และมลพิษจากการจราจร ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงถึง 1,000 µg/m³ ทำให้ทัศนวิสัยลดลงเหลือเพียง 10 เมตร การคมนาคมหยุดชะงัก โรงเรียนและสนามบินต้องปิด รัฐบาลจีนออกนโยบายลดมลพิษอย่างเข้มงวดในเมืองใหญ่

 

New Delhi Smog (ประจำปี) กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เกิดในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน-มกราคม) จากการเผาซังข้าวในพื้นที่ชนบท ควันจากยานพาหนะ การก่อสร้าง และสภาพอากาศนิ่ง ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM 2.5 สูงถึง 999 µg/m³ ทำให้ประชาชนหลายล้านคนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ รัฐบาลอินเดียออกมาตรการจำกัดการเผาไร่ การลดจำนวนยานพาหนะบนท้องถนน และการใช้เครื่องฟอกอากาศในเมือง

 

The Jakarta Haze Crisis (2015, 2019) ประเทศอินโดนีเซีย สาเหตุจากการเผาป่าและพื้นที่พรุในเกาะสุมาตราและกาลิมันตันเพื่อปลูกปาล์มน้ำมัน ส่งค่าฝุ่น PM 2.5 สูงกว่ามาตรฐานถึงหลายเท่า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย รัฐบาลอินโดนีเซียดำเนินคดีต่อบริษัทที่มีส่วนร่วมในการเผาป่า การระดมกำลังดับเพลิง และการออกกฎหมายควบคุม

 

Southeast Asian Haze Crisis (1997, 2015, 2019) – เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย สาเหตุหลักมาจากการเผาป่าเพื่อการเกษตรในอินโดนีเซีย รวมกับสภาพอากาศนิ่ง ส่งผลให้การเดินทางทางอากาศถูกยกเลิก โรงเรียนปิด และประชาชนหลายล้านคนมีปัญหาสุขภาพทางเดินหายใจ มีการลงนามในข้อตกลงอาเซียนเรื่องหมอกควันข้ามพรมแดน แต่ปัญหายังคงเกิดซ้ำเนื่องจากการเผาป่าอย่างต่อเนื่อง

 

ส่วนปัญหา PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ประเทศไทยเริ่มเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในปี 2018-2019 โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน สาเหตุหลักมาจากการจราจรและการเผาไร่ในภาคเหนือ

 

The Los Angeles Smog Crisis (1940s-1950s) – สหรัฐอเมริกา สาเหตุจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม รวมกับลักษณะภูมิศาสตร์ที่ล้อมรอบด้วยภูเขา ทำให้อากาศนิ่ง ส่งผลให้ทัศนวิสัยต่ำ ผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น รัฐบาลแก้ไขด้วยการออกกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศ การพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ

 

The Mexico City Smog Crisis (1980s) – เม็กซิโก มลพิษจากยานพาหนะ โรงงาน และการเผาไหม้ในเมืองใหญ่ เม็กซิโกซิตีเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก จนทำให้รัฐบาลออกนโยบาย “Hoy No Circula” (วันนี้ห้ามวิ่ง) เพื่อจำกัดจำนวนรถยนต์บนถนน และพัฒนาเทคโนโลยีการปล่อยมลพิษต่ำ

 

The Tehran Smog Crisis (ประจำปี) – อิหร่าน มลพิษจากรถยนต์ โรงงาน และการเผาไหม้ ส่งผลให้โรงเรียนและหน่วยงานราชการต้องปิดทำการบ่อยครั้งในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน อิหร่านแก้ไขด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบการปล่อยมลพิษและการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

 

เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก ซึ่งมีสาเหตุหลากหลายตั้งแต่กิจกรรมมนุษย์ไปจนถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งหมดล้วนชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการมลพิษทางอากาศอย่างจริงจังเพื่อปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม