posttoday

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี "ทรัมป์"!

23 มกราคม 2568

“ดร.พิรุณ” ชี้ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทรัมป์ สิ่งที่ระบบเศรษฐกิจโลกต้องเจอแน่ๆ คือ Climate Change แบบสุดขั้วที่จะทวีความรุนแรงขึ้น และต่อให้สหรัฐฯ จะมีขีดความสามารถทางการทหาร หรือ Military Defense Capability แค่ไหนก็รับมือกับภัยพิบัติจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นไม่ได้

ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวบรรยายในหัวข้อ “จาก COP 29 สู่การดำเนินงาน: ก้าวต่อไปของ SMEs ไทย” ในงานครบรอบวัน อรุณ สรเทศน์ รำลึก ประจำปี 2568 ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของการประชุม COP29 และนโยบายประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาในสมัยที่ 2 ที่มีนัยสำคัญในเรื่องของนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศโลกและบทบาทของสหรัฐหลังการถอนตัวออกจาก Paris Agreement เป็นครั้งที่ 2 ของทรัมป์หลังเข้ารับตำแหน่ง โดย ดร.พิรุณระบุว่า

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

 

“ในยุคนี้ถ้าใครไม่พูดถึง Sustainable Economic Growth (การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน) ธุรกิจนั้นไปต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะมีทรัมป์หรือไม่มีทรัมป์ก็ตาม แต่ Driver นั้นมีหลายตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมาย นโยบายภาครัฐ  เรื่องของข้อตกลงระหว่างประเทศ อย่างเช่น Paris Agreement และดีมานด์การบริโภค Green Products อินเวสเตอร์ในตลาดการลงทุนที่อยากเห็นการลงทุนในเรื่องนี้มากขึ้น หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีที่มีต้นทุน Unit Cost ลดลงอย่างรวดเร็วเช่น Solar Energy เป็นต้น

 

สิ่งเหล่านี้จะมาผลักดันการเติบโตที่ยั่งยืน ยังไม่รวมถึงการที่บริษัททุนต่างๆ เล็งเห็นความสำคัญของ ESG หรือ CSR เพื่อสร้างความยั่งยืน หรือเรื่องของภาคการเงินที่เปลี่ยนเป็นการเงินสีเขียวมากขึ้น

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

 

สิ่งสำคัญเรื่องเดียวในเวลานี้ที่เป็นหัวใจในทศวรรษข้างหน้าก็คือเรื่องของ Climate Change

 

เกิดคำถามว่าทรัมป์มาจะเป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่า Climate Change เป็นตัวทำลายเศรษฐกิจ ต่อให้สหรัฐฯ จะมีขีดความสามารถ Military Defense Capability แค่ไหนท่านก็รับมือกับภัยพิบัติจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นไม่ได้ และเมื่อเกิดความไม่แน่นอนในเรื่องนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงไปแค่ไหน โดยได้สรุปไว้ดังนี้

1.ถ้าทำได้ดีที่สุด ตามเป้าหมายของผู้นำประเทศที่เคยกล่าวไว้โดยที่ยังไม่มี commitment ใดกับ UN ก็น่าจะอยู่ที่ 2.3 องศาเซลเซียส นั่นคือโอกาสที่จะเกิดขึ้น 90%

2.ถ้าไม่สนใจสิ่งที่ผู้นำพูดแต่เน้นเฉพาะ commitment ที่จะทำไว้กับ UN แต่ไม่ได้เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3.0 องศา

3.แต่ถ้าไม่ได้รับเงินสนับสนุนใดๆ เลย กรณีหากทรัมป์ถอนเงินช่วยเหลือทั้งหมดอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 องศาเซลเซียส

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

 

และไม่ว่าอเมริกาจะขับเคลื่อนในเรื่องนี้หรือไม่ขับเคลื่อนเลยซึ่งตนไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น เพียงแต่อาจจะขับเคลื่อนช้า

กติกาโลกที่ผ่านมา เช่น การประชุมที่ดาวอส 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วกติกาโลกจึงเปลี่ยนไป และเชื่อว่าในทศวรรษหน้า กติกาโลกก็จะยังเปลี่ยนไปจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

 

ทุกวันนี้ทุกคนต่างพูดถึง Sustainable Business เพราะธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนจะไม่ใช่ธุรกิจที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนอีกต่อไป

 

เรื่องของ Carbon Pricing  หรือกลไกราคาคาร์บอนเพื่อให้เกิดการบังคับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะมีให้เห็นมากขึ้น หรือแม้แต่ Carbon Tax ที่จะมีผลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค

 

และ Energy Transition การลงทุนทุกอย่างที่เข้ามาถ้าเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีบริษัทแม่มีนโยบายเรื่อง Net Zero หรือ Carbon Neutrality ชัดเจนสิ่งแรกที่จะเกิดการตั้งคำถามคือ ประเทศต้นทางสามารถซัพพลายไฟหรือพลังงานสะอาดให้ได้หรือไม่ และหากทำได้ก็จะขอหลักฐานยืนยัน เพื่อให้นักลงทุนเชื่อ

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

 

และวันนี้มันก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว  เราไม่รู้ว่าเรื่องนี้สหรัฐอเมริกาจะใช้พาวเวอร์แค่ไหนในการผลักดันยุโรปให้เลื่อนการบังคับใช้ CBAM ออกไป เพราะว่าเป้าหมายคือ 1 มกราคม 2569 CBAM จะเริ่มเก็บเงินค่าธรรมเนียมของสินค้าที่จะส่งออกไป EU ในสินค้า 6 ประเภท น่าจับตาดูว่าอำนาจของอเมริกาจะทำให้ EU ถอยหลังในเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่า กฎหมายของ EU เมื่อบังคับใช้แล้วไม่สามารถยกเว้นให้กับประเทศใดประเทศหนึ่งได้ ต้องบังคับใช้กับทุกประเทศทั่วโลกเหมือนกัน

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

 

สองที่เป็นกลไกทางการค้าที่เป็น Non-Tariff Barrier ก็คือ EUDR หรือ EU Deforestation Regulation คือกฎหมายของ EU ถ้าจะซื้อสินค้าจากต่างประเทศจะต้องมีการยืนยันว่าต้องไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า กระบวนการผลิตต้องถูกกฎหมาย พื้นดินที่ปลูกต้องมีเอกสารรับรองสิทธิและยืนยันโดยหน่วยงานของ่ภาครัฐที่มีอำนาจ เช่น ยางพารา ปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ เนื้อวัว เป็นต้น ซึ่งต่อไปต้องแสดงพิกัดทางภูมิศาสตร์ให้ชัดเจน วันที่ ช่วงเวลาการผลิต ซัพพลายเชน เป็นอย่างไร มีการตัดไม้ทำลายป่าหรือไม่ นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นยังไม่บังคับใช้ปีนี้แต่น่าจะบังคับใช้ปีหน้า มีการเจรจากับ EU ค่อนข้างมากในเรื่องนี้โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ประเทศไทยจะปฏิบัติตามได้

 

ถ้าใครคาดหวังว่าทรัมป์จะพลิกฟ้าทลายแผ่นดินได้ในทุก 197 ประเทศทั่วโลก ก็เป็นความเชื่อหนึ่งแต่มันจะเกิดขึ้นหรือไม่ ประเทศไทย ก็ต้องตัดสินใจให้ดี

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

 

ผลกระทบของทรัมป์  2.0

การถอนตัวออกจาก Paris Agreement ของสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่สองในสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์ไม่มีอะไรน่าแปลกใจอีกต่อไป และในการประชุม COP 29 ที่ผ่านมาที่บากู อาเซอร์ไบจาน เรารู้อยู่แล้วว่าสหรัฐฯจะถอนตัวจาก Paris Agreement การถอนตัวมีผลกระทบทันทีรวมถึงประเทศไทยและอีกกว่า 140 ประเทศ เพราะเงินที่สหรัฐตกลงไว้ว่าจะใส่เข้าไปในกลไกการเงินหลักของอนุสัญญา UN Cilmate Change ประมาณกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในยอดทั้งหมดที่จะมีกว่า 13,000 ล้านจะถูกระงับทันที

 

ชัดเจนในสมัยที่สองของทรัมป์ว่าจะระงับการสนับสนุนทางการเงินทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น 30% ที่เป็น Contribution ส่วนของสหรัฐอเมริกาในกองทุน Green Climate Fund ซึ่งประเทศไทยก็ได้เงินจากกองทุนนี้อยู่ประมาณ 60 ล้านเหรียญสหรัฐแบบให้เปล่าและเรายังต้องการมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นกระทบแน่นอน และยังกระทบกับกลไกทางการเงินอื่นๆ จากสหรัฐอเมริกาด้วย อาจไม่ได้ระงับทั้งหมดเพียงแต่อาจช้าลง

 

สหรัฐออกจากข้อตกลงปารีสเพราะรู้สึกว่า ตนเองเสียเปรียบ หรือไม่เป็นธรรมที่ต้องจ่ายเงินช่วยประเทศอื่นในขณะที่จีนซึ่งปล่อยคาร์บอนสูงมากเช่นกัน (แม้จะไม่เท่าสหรัฐฯที่ปล่อยสะสมมากที่สุด) และมีจีดีพีสูงกลับไม่ต้องจ่ายมากเท่าสหรัฐ

 

ผลกระทบระดับโลกก็คือการลดอุณหภูมิเฉลี่ยลง 1.5 องศาเซลเซียสน่าจะยากขึ้นแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในโลกนี้ไม่ได้มีแต่อเมริกา ยังมี EU ยังมีสแดนดิเนเวีย ในอนาคตเราจะเห็นการ Shift ของ Climate Leader หรือการเปลี่ยนแปลงสถานะของผู้นำโลกด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น ในช่วงการประชุม COP29 UK ชิงประกาศเป้าหมายในการลดกก๊าซเรือนกระจกลงที่ 81% ในปี 2065 เมื่อเทียบกับ 2019 เพราะ UK มีเป้าหมายสำคัญคืออยากครองตำแหน่ง Hub ของ Climate Finance และ Climate Tech ของโลกด้วย แต่ก็มีคู่แข่งคือ สแกนดิเนเวียที่มีเป้าหมายในเรื่องนี้เช่นเดียวกันเพราะสแกนดิเนียเวียก็เป็น Hub ของเทคโนโลยี CCS หรือการดักจับคาร์บอนอยู่ในเวลานี้

 

ในช่วงปี 2017-2021 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกา (แม้ทรัมป์จะถอนตัวจาก Paris Agreement) ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด

 

ข้อสังเกตุจากรัฐบาลทรัมป์ 1

ในช่วงปี 2017-2021 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกา (แม้ทรัมป์จะถอนตัวจาก Paris Agreement) ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดหรือพุ่งขึ้นสูงแต่อย่างใด ในขณะที่การลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐอเมริกายังสูงสุดกว่าทุกรัฐบาลและได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สูงสุดเป็นประวัติการณ์

 

นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกว่า อเมริกาจะให้ความสำคัญกับ Push Position  หรือการยกสถานะหรือบทบาทด้าน Climate Chang แบบเดี่ยวๆ น้อยลงไปมากจนแทบไม่มีเลย ยกเว้นว่ามันจะไปส่งเสริมขีดความสามารถที่เข้มแข็งของสหรัฐอเมริกาในเทคโนโลยีนั้นๆ และทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาเติบโต

 

 

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!

Climate Change ตัวทำลายเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี \"ทรัมป์\"!