ข้อสังเกต เจตนาอำพราง ความเสี่ยงของไทยกับ “การฟอกเงินผ่านกาสิโน”
ประเทศไทยมองสิงคโปร์เป็นตัวอย่างและโมเดลสำคัญในการสร้าง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์“ เห็นจีนเป็นตัวอย่างในการจัดการกับขบวนการฟอกเงินการพนันในมาเก๊า คำถามคือ เรามี “เครื่องมือ” เหมือนอย่างสิงคโปร์และจีนหรือเปล่า ก่อนมี “กาสิโน”ในประเทศไทย
นิด้าโพล เปิดผลสำรวจ "คนไม่เห็นด้วย" ไทยมีสถานบันเทิงครบวงจร-กาสิโน
ร้อยละ 59.16 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน
รองลงมา ร้อยละ 28.93 ระบุว่า เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน
ร้อยละ 8.63 ระบุว่า เห็นด้วยกับสถานบันเทิงครบวงจร ที่ไม่มีกาสิโน
ช่วยยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า คนไทย "ไม่ไว้ใจรัฐบาล" ในการเปิดให้มี "กาสิโน" ถูกกฎหมายได้หรือไม่?
ในขณะที่ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” ระบุชัดว่า “สถานบันเทิงครบวงจร” ถือเป็นนโยบายที่ 7 เพราะรัฐบาลตั้งใจจะส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศ
ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางการพนันอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเก๊าและลาสเวกัส?
Nikkei Asia ได้อ้างอิงบทวิเคราะห์จาก Citigroup ที่ประเมินว่า หากประเทศไทยเปิดกาสิโนถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ ภายในปี 2031 ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางการพนันอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเก๊าและลาสเวกัส
เนื่องจากมีคนไทยชอบเล่นการพนัน และรัฐบาลกำลังหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศแม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ดี
มีการคาดการณ์ว่า รายได้จากคาสิโนในไทยจะสูงถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าสิงคโปร์ที่คาดว่าจะมีรายได้ 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีเดียวกัน
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังเสนออัตราภาษีการพนันที่ 17% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในเอเชีย เมื่อเทียบกับมาเก๊าที่มีอัตราภาษี 40% ญี่ปุ่น 30% และสิงคโปร์ระหว่าง 18-22% (ขึ้นกับรายได้ของผู้ดำเนินการ)
ที่น่าสนใจคือ Nikkei Asia ตั้งข้อสังเกตว่า เพราะกาสิโนมีความเสี่ยงจากการฟอกเงิน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมไม่มีผู้ประกอบการชาวอเมริกันในฟิลิปปินส์ นั่นเป็นเพราะผู้ประกอบการชาวอเมริกันต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลตัวเองในการลงทุนต่างประเทศ และหากที่ไหนมีความเสี่ยงต่อการฟอกเงิน หรือ อาชญากรรม จะกระทบต่อใบอนุญาตในประเทศด้วย
ไม่เพียงแค่นั้น ความเข้มงวดในมาตรการจัดการขบวนการฟอกเงินที่เข้มงวดขึ้นทั้งในจีนและสิงคโปร์ ก็ส่งผลให้กลุ่มทุนสีเทาบางกลุ่ม เคลื่อนย้ายทุนมาทางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎระเบียบไม่เข้มเท่ามากขึ้นจริงหรือไม่!
สิงคโปร์กับมาตรการควบคุม "กาสิโน" สุดเข้ม
ประเทศไทยมองสิงคโปร์เป็นตัวอย่างและโมเดลสำคัญในการสร้าง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์“ หรือ "กาสิโนถูกกฎหมาย" แต่คำถามคือ เรามี "เครื่องมือ" ในการจัดการของร้อนอย่าง “กาสิโน” เหมือนสิงคโปร์หรือเปล่า เพราะแม้สิงคโปร์จะมีเครื่องมือในการควบคุมบ่อนกาสิโนมากมายแต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาในเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เดือนสิงหาคมปี 2023 สิงคโปร์ต้องเผชิญกับคดีฟอกเงินครั้งใหญ่ที่สุดมีมูลค่ากว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (หรือราว 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) มีการจับกุมผู้ต้องหา 10 รายที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินระดับโลก และมีการอายัดทรัพย์สินทั้ง เงินสด ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ รถหรู และคริปโตเคอร์เรนซี หลังพบว่ามีการใช้บัญชีธนาคารในสิงคโปร์และบริษัทเชลล์ในการโอนเงินผิดกฎหมาย
คดีนี้นำไปสู่การทบทวนกฎระเบียบและออกมาตรการ AML (Anti-Money Laundering) หรือ นโยบายต่อต้านการฟอกเงินที่เข้มงวดยิ่งขึ้น แม้ว่าเดิมสิงคโปร์จะมีกฎหมายหลายฉบับและหน่วยงานมากมายที่ทำหน้าที่ควบคุม กาสิโน และ การฟอกเงินอยู่แล้ว เช่น Casino Regulatory Authority (CRA) ที่คอยกำกับดูแลคาสิโน เช่น Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa และคอยควบคุม Junket (พวกเอเย่นต์ทัวร์การพนัน) และตรวจสอบธุรกรรมที่น่าสงสัย มี Suspicious Transaction Reporting Office (STRO) หน่วยงานรวบรวมและวิเคราะห์รายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยจากธนาคารและสถาบันการเงิน
มีมาตรการควบคุมการฟอกเงิน อย่าง Know Your Customer (KYC) และ Due Diligence ที่ทำให้ทุกสถาบันการเงินต้องทำ Customer Due Diligence (CDD) ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุนและตัวตนของลูกค้า (Identity Verification) และต้องเก็บข้อมูลธุรกรรมของลูกค้าไว้อย่างน้อย 5 ปี และยังมีกฎหมายและหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมาย
ผลจากมาตรการปราบปรามทำให้ การฟอกเงินผ่านสิงคโปร์ยากขึ้น หลายเครือข่ายอาชญากรรมย้ายไปใช้ประเทศที่มีกฎระเบียบน้อยกว่า ในขณะที่ความเข้มงวดของภาคการเงิน ทำให้ธนาคารและธุรกิจต้องปฏิบัติตามมาตรการ KYC และ AML ที่เข้มงวดขึ้น
จีนกับมาตรการเชิงรุกกำหราบ “ขบวนการฟอกเงินการพนัน”
ด้านจีนในยุคสี จิ้นผิงดำเนินการปราบคอรัปชั่นเชิงรุก จัดการกับแก๊งค์ฟอกเงินการพนัน จับ“ขาใหญ่” เข้าคุก กำหราบพวก Junket หรือพวกเอเย่นต์ทัวร์การพนันยกใหญ่ Economist บอกว่า มาตรการเข้มงวดดังกล่าวส่งผลให้ “นักพนันจำนวนมากถูกบีบให้เดินทางออกไปเล่นนอกประเทศ” จากมาตรการคุมเข้มธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อเล่นกาสิโนข้ามพรมแดน
และบรรดาเอเย่นทัวร์การพนันนี้เองคือ แหล่งบ่มเพาะของปัญหาที่ทำให้มาเก๊ากลายเป็นแหล่งเงินฟอกเงินของคนใหญ่คนโตในจีนแผ่นดินใหญ่มาช้านาน และมีการดำเนินการกวาดล้างมาหลายปี และเมื่อจีนเอาจริงกับเรื่องนี้ ส่งผลให้หุ้นของกาสิโนมาเก๊าพากันร่วงเป็นแถบ เพราะความอยู่รอดของกาสิโนมาเก๊าอิงอยู่กับการฟอกเงินด้วยนั่นเอง
Economist ระบุว่า รายได้จากการเล่นเกมที่กาสิโนของมาเก๊าในปีนี้ คาดว่าจะต่ำกว่าปี 2019 ซึ่งเป็นฐานเดิมก่อนโควิด-19 อยู่ 17% ตามข้อมูลจาก H2 Gambling Capital แม้ว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงก็ตาม
คำถามคือ เมื่อจีนเข้มงวดขึ้น สิงคโปร์เข้มงวดขึ้น ที่อื่นมีปัญหาอเมริกาไม่ไปลงทุนในฟิลิปปินส์ หรือประเทศอื่นที่อาจลงทุนไปก็ไม่รุ่ง และคงไม่ได้เป็นเพราะอุปสัยคนไทยชอบเล่นกันพนันเพียงเท่านั้นแน่ๆ ที่ส่งให้กาสิโนมาจุติที่ประเทศไทย เพราะแน่นอนว่า ด้วยเหตุผลรอบด้านที่ยกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งกลุ่มทุนสีเทาและกลุ่มทุนอื่นๆ ทั้ง LVS (Las Vegas Sands) หรือกลุ่มทุนมาเก๊าทั้ง กาแลกซี่ เอนเตอร์เทนเมนต์ (Galaxy Entertainment Group) เอ็มจีเอ็ม ไชน่า (MGM China) แซนด์ส ไชน่า (Sands China) และ วินน์ มาเก๊า (Wynn Macau) จะไปลงที่ไหน หากไม่ใช่ จุดหมายต่อไปในเอเชียตะวันออกเฉียงคือประเทศไทย โดยเฉพาะทุนสีเทา
ข้อสังเกต “เจตนาอำพราง”
เพียง 4 เดือนที่เป็นนายกฯ แพทองธาร คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2568
ก่อนนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เคยย้ำในหลายเวที ว่าต้องเอาสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมาบนดิน โดยจะมีการดึงการลงทุนจากบริษัทต่างประเทศเข้ามาได้ถึง 5 แสนล้าน หรือทำให้สำเร็จได้ภายในเวลาอีก 2 ปีข้างหน้า
มีการตั้งคำถามถึง “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” ทั้งจาก รองศาสตราจารย์ ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมลํ้า อดีตคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ ศ.ดร.วิชา มหาคุณ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎี คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ระบุตรงกันว่า
“หากรัฐบาลต้องการทำคาสิโนหรือการพนันที่ถูกกฎหมาย รัฐบาลควรออกเป็น “พระราชบัญญัติคาสิโน“ ไม่ใช่ ”พระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร“ เพราะ การกระทำดังกล่าวของรัฐบาล เป็นการบิดเบือนและซ่อนเร้น ความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาลเอาไว้”
และ
“เหมือนนำตัวโครงการกาสิโนไปซ่อนไว้ แทนที่ว่าจะไปแก้ไขพ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2547 หรือภาษากฎหมาย เรียกว่า “กระบวนการอำพราง” แต่ที่ผลกระทบมากกว่านั้น ก็คือการชี้ให้เห็น ช่องทางที่ว่า บ่อนพนัน หรือ กาสิโน คือ “สถานที่ฟอกเงินอย่างดีที่สุด” ซึ่งจะทำลายกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อย่างชนิดที่เรียกว่า “กู่ไม่กลับ”