บีโอไอไฟเขียว 2 แสนล้าน ดันรถไฟฟ้าสายสีส้ม - Data Center รับยุค AI
บีโอไอไฟเขียวงบลงทุนกว่า 2 แสนล้าน รถไฟฟ้าสายสีส้ม - Data Center รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล AI เผยกลุ่ม Gulf ลงทุน Data Center กว่า 1.3 หมื่นล้าน ในชลบุรี
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้อนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุนครั้งสำคัญเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 โดยเคาะอนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ถึง 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านบาท
ซึ่งครอบคลุมทั้งการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าสายสีส้ม และการลงทุนในศูนย์ข้อมูล (Data Center) ระดับภูมิภาคถึง 3 แห่ง เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังมาถึง
นอกจากนี้ บีโอไอยังสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในกิจการโรงพยาบาล เพื่อยกระดับบริการทางการแพทย์ให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยภายหลังการประชุมบอร์ดบีโอไอ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ว่า
การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามามีบทบาทอย่างมาก
รถไฟฟ้าสายสีส้ม: เส้นทางแห่งการเชื่อมต่อและการเติบโต
หนึ่งในโครงการที่ได้รับการอนุมัติคือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 109,210 ล้านบาท
โครงการนี้จะช่วยขยายโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน และเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ตามแนวเส้นทาง
ดาต้า เซ็นเตอร์: หัวใจสำคัญของนิเวศดิจิทัลในยุค AI
อีกหนึ่งไฮไลท์ของการอนุมัติครั้งนี้คือ การส่งเสริมการลงทุนใน ศูนย์ข้อมูล (Data Center) จำนวน 3 โครงการ จากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่า 90,870 ล้านบาท ได้แก่
1. บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS ด้วยเงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี
สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนระดับโลกต่อศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค
2. บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน ด้วยเงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง
ซึ่งเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนจีนในการเข้ามาขยายฐานธุรกิจด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย
3. บริษัทในเครือ Empyrion Digital จากประเทศสิงคโปร์ ด้วยเงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเมืองหลวง
"Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตของ AI"
"การที่บริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จะช่วยยกระดับให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคอย่างแท้จริง"
- นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ
การมี Data Center ที่มีมาตรฐานสูงและมีความปลอดภัย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการและประชาชนชาวไทย ทำให้สามารถเข้าถึงบริการคลาวด์ที่มีเสถียรภาพ ลดต้นทุนในการสร้างศูนย์ข้อมูลของตนเอง และช่วยให้ข้อมูลสำคัญได้รับการจัดเก็บและประมวลผลภายในประเทศ
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคง นอกจากนี้ ยังจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โทรคมนาคม พลังงาน และไอที รวมถึงสร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับบุคลากรไทยในสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล
สถิติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ในประเทศไทย โดยมีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 2.9 แสนล้านบาท
ยกระดับสาธารณสุข
นอกเหนือจากการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและดิจิทัลแล้ว บีโอไอยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านสาธารณสุข
โดยสนับสนุนแนวทางการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) ในกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป
ภายใต้มาตรการนี้ โรงพยาบาลที่ร่วมทุนกับหน่วยงานรัฐในรูปแบบ PPP จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ ได้แก่
การยกเว้นอากรเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (จากเดิมที่โรงพยาบาลทั่วไปจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี)
บอร์ดบีโอไอได้อนุมัติหลักการให้ “โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง” ซึ่งจะเป็นโครงการร่วมทุนรัฐ-เอกชนในรูปแบบ PPP ครั้งแรกของกระทรวงสาธารณสุข
ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้เป็นโครงการนำร่อง ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถทางการรักษาพยาบาลของภาครัฐ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของภาคเอกชน
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว ลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อความยั่งยืน
บีโอไอยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและการลดก๊าซเรือนกระจก โดยได้อนุมัติให้กิจการที่มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น
พลังงานลมหรือแสงอาทิตย์ และต้องการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้
นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังเห็นชอบให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง
สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การอนุมัติส่งเสริมการลงทุนครั้งใหญ่นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ทั้งด้านดิจิทัล คมนาคม และสาธารณสุข ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้าและสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกในยุคแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม