posttoday

สวทช.ปักหมุดไทย จัดตั้ง "ธนาคารอาหารแห่งชาติ"

07 กรกฎาคม 2567

สวทช. เปิดเวทีรับฟังความเห็น ต่อการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน ปักหมุดไทยจัดตั้ง Food Bank ระดับประเทศ เกิดขึ้นจริง ยั่งยืน และเหมาะสมกับบริบทไทย

ดร.นวลวรรณ สงวนศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์องค์กร สวทช. กล่าวว่า สวทช.ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS) จัดเวทีประชุมรับฟังความเห็น ต่อแนวทางการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งธนาคารอาหารแห่งชาติของประเทศไทย แก้ปัญหาการสูญเสียอาหารหรือขยะอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


ในวันนี้ ซึ่งเป็นการดำเนินงานภายใต้โครงการ “การศึกษาแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกินหรือ Food surplus (กรณีศึกษาพื้นที่นำร่อง กทม. และ ต่างจังหวัด)” เพื่อช่วยแก้ไขในเรื่องปัญหาการสูญเสียอาหารหรือขยะอาหาร ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


 

รวมถึงปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเหมาะสม โดยการรับฟังความเห็นครั้งนี้มีผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ร่วมกับ SOS เข้าระดมความคิดเห็นกว่า 60 คน เพื่อนำไปจัดทำเป็นแนวทางบริหารจัดการอาหารส่วนเกินของประเทศไทย สู่การจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศต่อไป

 

ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ นักวิจัยนโยบาย สวทช. หัวหน้าโครงการการจัดตั้งธนาคารอาหารของประเทศไทย กล่าวว่า จุดสำคัญของอาหารส่วนเกิน พบว่า 1 ใน 3 ของผลิตภัณฑ์อาหารที่ผลิตขึ้นมาจะถูกทิ้ง ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่ใช้ในการผลิต รวมถึงยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศด้วย สวทช. มีเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินในหลายส่วน อย่างแพลตฟอร์มดิจิทัลแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติของเนคเทคที่นำไปเชื่อมต่อกับระบบ Cloud Food Bank ของมูลนิธิ SOS เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการรับบริจาคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น กรมอนามัยฝากเรื่องโภชนาการกับการบริจาคอาหารให้เด็ก ต่อไปทุกอย่างจะบรรจุในแพลตฟอร์มนี้ เป็นต้น 

 

"ขณะที่ในเรื่องมาตรการด้านคาร์บอน เรากำลังจะทำโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นต์อาหารส่วนเกินที่ได้กอบกู้มา ซึ่งจะมีประโยชน์และแรงจูงใจต่อผู้บริจาคในการไปบอกกับสังคมได้ว่า การบริจาคครั้งนี้ลดการปล่อยคาร์บอนไปเท่าไร และในอนาคตอาจจะใช้จุดนี้ทำเงินบางส่วนได้ด้วย"


ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการบริจาคอาหารส่วนเกินคือ การสร้างเครือข่าย โดยเป็นเครือข่ายความร่วมมือกับผู้บริจาคกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนพันธมิตรผู้บริจาคมากกว่า 1,200 แบรนด์ (ปี 2567) ซึ่งเป็นเรื่องลำดับแรก ๆ ที่ต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดการบริจาคอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงยังควรให้ความสำคัญกับอาหารที่ไปถึงมือผู้รับ

 

นอกเหนือจากปริมาณที่เพียงพอแล้ว ยังต้องมีโภชนาการอาหารที่ครบ 5 หมู่ด้วย จุดนี้ต้องหาแนวทางร่วมกันต่อไป นอกจากนี้ ยังมองว่าด้วยพื้นฐานคนไทยมีจิตใจชอบบริจาคและให้ทานกันเป็นทุนเดิม แต่อาจจะยังขาดในเรื่องช่องทางที่ให้บริจาค จึงควรมีการสื่อสารและแรงจูงใจต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ที่อยากบริจาคมากยิ่งขึ้น

 

ทั้งนี้ มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนได้ให้ข้อคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ทั้งในเรื่องของการสร้างความตระหนักรู้ถึงคำว่าอาหารส่วนเกิน ที่ไม่ใช่อาหารเหลือ แต่เป็นเพียงอาหารที่จำหน่ายไม่หมด ซึ่งยังมีคุณภาพที่ทานได้ หรือในเรื่องของโลจิสติกส์ที่เป็นระบบการจัดการการส่งอาหาร

 

"อยากให้มีจุดพักอาหารหรือมีห้องเย็นที่เก็บอาหารไว้ได้ ขณะที่ตัวแทนมูลนิธิ SOS ได้เสนอว่า อยากให้หน่วยงานของภาครัฐร่วมแชร์ข้อมูลพื้นที่ตั้งของกลุ่มเปราะบางว่าอยู่ที่ใดบ้าง เพราะการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันจะทำให้ SOS สามารถนำอาหารไปส่งได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และลดค่าใช้จ่ายในด้านค่าน้ำมันขนส่งได้ด้วย"