posttoday

LGBTQ+ ผู้ทรงอิทธิพลใน Silicon Valley ดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม

08 กรกฎาคม 2567

ในอดีต กลุ่ม LGBTQ+ ในวงการเทคโนโลยีต้องเผชิญอุปสรรคหลายประการ แต่ในปัจจุบันพวกเขากำลังกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรม และความหลากหลาย ซึ่งหลายคนในนั้นไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ แต่ยังเป็นนักเคลื่อนไหวและแบบอย่างต่อ LGBTQ+ ทั่วโลก

หากกล่าวถึง Silicon Valley ภาพในหัวคนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น ศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก เพราะเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำมากมาย  เช่น  Apple, Google, Facebook, Amazon, Tesla, Oracle, Nvidia และ Twitter ทั้งยังเป็นดินแดนแห่งโอกาสสำหรับผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ที่ต้องการตามหาความฝันในการทำงานด้านเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการทำงานใน Silicon Valley นั้น ขึ้นชื่อว่ามีวัฒนธรรมองค์กรแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งไม่ค่อยจะเปิดรับต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมากนัก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาองค์กรต่างๆ เช่น Lesbians Who Tech, StartOut และ TransTech Social Enterprises จึงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กรและช่วยเหลือชาว LGBTQ+ ในแวดวงเทคโนโลยี

ในบทความนี้ เราได้รวบรวมรายชื่อบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงในแวดวงเทคโนโลยี ที่เปิดเผยว่าเป็น LGBTQ+ โดยบางส่วนได้ใช้ตัวตนทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศของตน ช่วยเรียกร้องสิทธิ์และส่งเสริมพื้นที่ให้ชาว LGBTQ+ ในวงการเทคโนโลยีมากขึ้น 

LGBTQ+ ผู้ทรงอิทธิพลใน Silicon Valley ดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม

Tim Cook, CEO Apple

Tim Cook เปิดเผยตัวตนว่าเป็น LGBTQ+ ในเดือนมิถุนายน ปี 2014 และในปีเดียวกันนั้น เขาได้ปรากฏตัวในงาน Pride จากการร่วมเดินพาเหรดในซานฟรานซิสโกร่วมกับพนักงานของ Apple กลุ่มหนึ่ง

ต่อมาในวันที่ 30 ตุลาคม 2014 Tim Cook ได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมภูมิใจที่เป็น LGBTQ+ และผมมองว่าความหลากหลายทางเพศหนึ่งในของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานให้ผม" และจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ Tim Cook กลายเป็น CEO คนแรกของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่เปิดเผยตัวตนว่าเป็น LGBTQ+

ปัจจุบัน Tim Cook ถือว่าประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple เนื่องจากบริษัทกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าล้านล้านดอลลาร์แห่งแรกของโลก ซึ่ง Tim Cook ยังต้องการให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ส่งเสริมความหลากหลาย ความเป็นส่วนตัว และสนับสนุนความคิดริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท 

LGBTQ+ ผู้ทรงอิทธิพลใน Silicon Valley ดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม

Sam Altman, CEO OpenAI

Sam Altman หัวเรือใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังแชทบอทปัญญาประดิษฐ์อันทรงพลังอย่าง ChatGPT  เปิดเผยตัวตนว่าเป็น LGBTQ+ ตั้งแต่อายุ 17 ปี ซึ่งสมัยเรียนมัธยมเขายังให้การสนับสนุนวิทยากรที่มาบรรยายเนื่องในวันเปิดเผยตัวตนของกลุ่ม LGBT (National Coming Out Day) ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมดังกล่าว

Sam ไม่เคยปิดบังตัวตนรวมถึงรสนิยมทางเพศของเขาต่อสาธารณะ ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร New York Magazines เมื่อเดือนกันยายน 2023 Sam เผยว่าเขาวางแผนที่จะมีลูกกับ Oliver Mulherin คู่สมรสของเขาในเร็วๆ นี้ โดยทั้งสองยังปรากฏตัวต่อสาธารณะในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ทำเนียบขาว ซึ่งจัดโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ ในระหว่างการเยือนของนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย

ความสำเร็จที่ Sam Altman มีต่อวงการเทคโนโลยี ทำให้เขากลายเป็น LGBTQ คนสำคัญในยุคที่ AI แทบจะครองทุกวงการ

LGBTQ+ ผู้ทรงอิทธิพลใน Silicon Valley ดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม

Chris Hughes, co-founder Facebook

Chris Hughes คือหนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้ง Facebook ร่วมกับ Mark Zuckerberg ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เปิดตัวว่าเป็น LGBTQ+ โดยในปี 2012 เขาได้แต่งงานกับ Sean Eldridge ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองให้กับกลุ่มสนับสนุนการแต่งงานของเพศเดียวกัน

ทั้งคู่ร่วมกันผลักดันกิจกรรมเพื่อสังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ต่อต้านการผูกขาด รวมถึงการสนับสนุนสิทธิกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ด้วยการจัดตั้งกลุ่ม Freedom to Marry ด้วยปณิธานที่เขามองจากมุมของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่ต้องการอิสรภาพในการแต่งงาน สร้างครอบครัว และใช้ชีวิตกับคนที่รักในระยะยาว

LGBTQ+ ผู้ทรงอิทธิพลใน Silicon Valley ดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสังคม
 

Claudia Brind, Managing Director at IBM

Claudia Brind เป็นผู้บริหารระดับสูงและผู้นำการสนับสนุนในเครือข่าย LGBTQ+ หลายแห่ง เธอทำงานให้กับ IBM ตั้งแต่ช่วงปี 1990 และใช้ตำแหน่งของเธอในการผลักดันให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้าง ซึ่งส่งผลดีต่อองค์กรและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเชิงบวก

Claudia Brind อาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษกับภรรยาชื่อ Tracie เธอเป็นหนึ่งในเสียงสำคัญของกลุ่ม LGBTQ+ ในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ IBM ปรับเปลี่ยนนโยบายภายในให้มีความหลากหลายและเท่าเทียมกัน รวมถึงส่งผลต่อบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ให้ริเริ่มโครงการความหลากหลายภายในบริษัทด้วย โดยเธอระบุว่า 

“หากพนักงานของเราไม่ต้องกังวลเรื่องการเรียกร้องสิทธิ์หรือผลตอบแทนที่เท่าเทียม ประสิทธิภาพการทำงานก็จะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การโฟกัสไปที่ความสามารถรายบุคคล ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างน่าทึ่ง